‘ประเสริฐพงษ์ ก้าวไกล’ อภิปราย ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ ปมออกโฉนดที่ดินเอื้อนายทุน 27 ราย แฉมีน้องสาวอดีตอัยการสูงสุดเกี่ยวพันด้วย โยงอาจเกี่ยวพันการไม่ฟ้องคดีรถซ่อมบำรุงสมัยเป็นนายกอบจ.สงขลา จน ป.ป.ช.ต้องฟ้องเอง ด้าน ‘นิพนธ์’แจงยิบปมชี้มูล ลั่นไม่รู้จักใครทั้งนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2565 สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รวม 11 คน ตามที่ ส.ส.ฝ่ายค้านเสนอ ภายใต้ยุทธการณ์ ‘เด็ดหัว สอยนั่งร้าน’ โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 ก.ค.2565
เวลา 9.50 น. นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า การเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินที่เกาะนุ้ยนอก ซึ่งเป็นเกาะเล็กกลางทะเลในอ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ในเดือน ก.ย. 2564 มีประชาชนร้องเรียนว่า มีการออกโฉนดบนเกาะนี้ทั้งหมด 5 ไร่ ทั้งๆที่เกาะนี้ชาวบ้านมักจะใช้มาหลบลมมรสุม และเอาเรือประมงมาจอด เพื่อแกะอวนกุ้งอวนปลากัน ไม่มีใครมาใช้ประโยชน์อะไร และตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 และประมวลกฎหมายที่ดิน ห้ามออกโฉนดบนเกาะเว้นแต่มีใบรับรอง ใบจังจอง หรือใบเหยียบย่ำเท่านั้น จึงจะออกโฉนดได้ แต่ปัจจุบันมีการซื้อขายโฉนดกันมีมูลค่าถึง 100 ล้านบาท
และเมื่อสืบค้นลงไปพบว่า มีเจ้าหน้าที่ระดับผู้อำนวยการในดีเอสไอได้รับจัดสรรที่ดินนี้ด้วย ซึ่งมีการเข้าไปทำหลักฐานทำกินปลอม มีการเข้าไปตัดต้นไม้ภายหลังที่เป็นข่าว นอกจากนั้นแล้วยังพบว่า ใบ สค.1ที่ขอออกนั้น เป็นของเกาะปอ เวลาต่อมาเกาะนุ้ยนอกถูกเพิกถอนที่ดินโดยรองอธิบดีกรมที่ดิน แต่การตรวจสอบยังไม่คืบหน้า แม้จะมีการสอบถามกรมที่ดินแล้ว แต่ก็บอกว่า จะมีความคืบหน้าในเดือน ส.ค. 2565
ทั้งนี้ ไม่ใช่เฉพาะเกาะนุ้ยนอกเท่านั้น โครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน อยู่ภายใต้การกำกับของนายนิพนธ์ มีเป้าหมายทั้งหมด 47 จังหวัด แม้จะมีเป้าหมายเพื่อออกโฉนดที่ดินให้ประชาชน แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการออกโฉนดให้นายทุนหรือไม่
ซึ่งมีกรณีของการออกโฉนดที่ดินบนหาดนาใต้ ที่ออกโฉนดที่ดินให้นายทุน 27 รายชื่อ โดยไม่มีหลักฐานอ้างอิง ซึ่งไม่มีใครเดือดร้อนด้านที่ดินทำกิน โดย 27 รายมีทั้งนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, กรรมการบริษัทที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต, ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง มี 3 คนที่มีนามสกุลเดียวกัน เป็นนายทุน, ผู้ถือหุ้นบริษัทมหาชนที่ทำธุรกิจด้านพัฒนานิคมอุตสาหกรรมตัวย่อ J เป็นต้น จะเห็นว่า ไม่มีใครมีปัญหาด้านที่ดินทำกิน ส่วนใหญ่เป็นนายทุนทั้งหมด
จากนั้นนายประเสริฐพงษ์ได้เปิดคลิปเสียงการโทรศัพท์เพื่อขอซื้อที่ดินหาดนาใต้ ซึ่งในคลิปเสียงนายประเสริฐพงศ์อ้างว่า เป็นนักการเมืองชื่อ นิพนธ์ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และเป็น 1 ใน 27 รายที่ได้รับการจัดสรรที่ดินบนหาดนาใต้ด้วย โดนนายประเสริฐพงศ์ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการหาทุนในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งหน้าหรือไม่ ทั้งนี้ ในช่วงที่มีการเปิดเสียงนายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประท้วงว่า คลิปเสียงพูดถึงใครก็ไม่รู้ ฟังแล้วไม่มีประโยชน์ น่าจะเป็นการสร้างคลิปเสียงขึ้นมา น่าจะไม่เกี่ยวกับนายนิพนธ์ บุญญามณี และสร้างความเสียหายกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ วินิจฉัยว่า ยังพิสูจน์ไม่ได้ทันทีว่า สื่อที่เอามาเปิดจริงหรือไม่ ขอให้ฟังให้จบก่อน และตอนนี้อยู่ในเวลาของนายประเสริฐพงษ์ และหากเสียหายก็ไปฟ้องร้องกันเอาเอง เพราะมีการถ่ายทอดออกสื่อไปทั่วประเทศ
สัมพันธ์อดีตอัยการสูงสุด
นอกจากนี้ นายประเสริฐพงษ์ยังเชื่อมโยงไปถึงรายชื่อ นางสาวสุนีย์ กิตติพรหมวงศ์ ที่ได้รับการจัดสรรที่ดินในแปลงดังกล่าวด้วย และมีศักดิ์เป็นน้องสาวของนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อดีตอัยการสูงสุด ที่ไม่สั่งฟ้องคดีบอส อยู่วิทยา, คดีสหกรณ์คลองจั่น และคดีอุ้มฆ่าบิลลี่ เป็นต้น ซึ่งไปเกี่ยวพันนายนิพนธ์ บุญญามณี คือ มีคดีสมัยเป็นนายก อบจ.สงขลา คือกรณีคดีรถซ่อมบำรุงอเนกประสงค์ ซึ่งในช่วงที่นายวงศ์สกุลเป็นอัยการสูงสุดไม่ยอมสั่งฟ้อง จนในเดือน มิ.ย. 65 อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่สั่งฟ้อง และในที่สุด ป.ป.ช. ฟ้องศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบกลางเมื่อต้นเดือน ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา ทั้งๆที่เรื่องมีประเด็นตั้งแต่ปี 2563 แล้ว ดังนั้น นายนิพนธืไม่ควรจะนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะเอื้อประโยชน์ให้นายทุน และเตะถ่วงคดีของตัวเอง
จากทั้งหมดทำให้คิดถึงกรณีออก สปก.4-01 ออกเอกสารสิทธิ์ให้คนใกล้ชิดและพวกพ้อง ในสมัยที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ จนทำให้นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในยุคนั้นต้องยุบสภา วันนี้มีการทุจริตอีกจากพรรคเดิม เนียนขึ้น ไม่ต้องพิสูจน์เลยว่าเป็นเกสรกรไหม ตัดตอนที่รัฐมนตรีไม่ต้องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านมา 30 ปี ยังทำตัวเหมือนเดิม
แจงยิบปมซื้อรถบำรุงทาง
ด้านนายนิพนธ์ บุญญามณี ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า ข้อมูลที่เอามาเป็นข้อมูลมโนทั้งนั้น นั่งนึกเอาเอง เอาไปถามเป็นกระทู้ก็ได้ ขอชี้แจงว่าไม่รู้จักใครทั้งนั้น โดยเฉพาะอดีตอัยการสูงสุดไม่เคยรู้จักเลย ซึ่งที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ดินตามที่กล่าวอ้าง และได้ชี้แจงเรื่องการไม่จ่ายค่ารถซ่อมบำรุงในที่แห่งนี้ไปแล้วด้วย กล่าวคือ การจัดซื้อรถนั้นมีมาก่อนที่ตนจะเข้ามารับตำแหน่งนายก อบจ. ทั้งการจัดซื้อรถดังกล่าวมีการรับมอบ 3 ครั้ง โดยมอบหมายปลัดอบจ.เป็นผู้รับมอบแทน และเมื่อเห็นรถมีราคา 25 ล้านบาท/คัน จึงให้ตรวจสอบว่ารถมันใช้ได้จริงไหม บริษัทที่ชนะประมูลก็มารับรถไปตรวจ เมื่อตรวจเสร็จแล้ว มีคำตอบว่ารถใช้ได้ตามคุณสมบัติ จึงเอารถไปขึ้นทะเบียนเป็นกรรมสิทธิ์ของ อบจ. กับกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ในจังหวัด
ต่อมา ทางจังหวัดมีหนังสือมาว่า มีการร้องเรียนถึงจัดซื้อรถดังกล่าว จึงมีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ท้ายที่สุดผลคือ มีการประมูลที่ไม่สุจริตจริง จึงรายงานไปที่จังหวัดและสตง.ทราบ และได้รับทราบว่า ทางบจ.พลวิศว์ เทค พลัสที่รับงานก็ฟ้องศาลปกครองแล้ว ทุกฝ่ายจึงต้องศาลพิพากษา และต่อมาเมื่อมีการขอคืนหลักประกันสัญญาตามระยะเวลา ทางอบจ.สงขลาก็คืนหลักประกันให้ ส่วนทำไมถึงไม่บอกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการ ก็เพราะมันตรวจพบกระบวนการประมูลไม่สุจริต จึงถือเป็นโมฆะกรรมไปแล้ว ไม่ต้องบอกเลิกสัญญาก็ได้
ต่อมา ได้ตรวจสอบคู่เทียบในโครงการดังกล่าวพบว่า ผู้ร่วมประมูลทุกรายปลอมเอกสารแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายรถในต่างประเทศ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทผี โดยได้รับการยืนยันจากประเทศออสเตรเลีย, อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา และเนเธอร์แลนด์ กลายเป็นขบวนการปลอมแปลงเอกสารและได้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษในข้อหาใช้เอกสารปลอมและฮั้วประมูล จึงได้ยื่นฟ้อง สภ.สงขลา ซึ่งก็มีการสั่งฟ้อง บจ.พลวิศว์ฯ และคู่เทียบคือบจ.เอส พี เค ออโต้ เทค ในฐานความผิดดังกล่าว เว้นการฮั้วประมูลต้องส่งไป ป.ป.ช. แม้จะมีการขอให้โอนคดีไปให้กองปราบ แต่สุดท้ายกองปราบเห็นพ้องในสำนวนของ สภ.สงขลา และไปยื่น ป.ป.ช. ชี้มูลในที่สุด นอกจากนั้นยังพบว่าการประมูลรอยบ 1-2 ก็เข้าข่ายนี้ด้วย
สุดท้ายป.ป.ช. ฟ้องดำเนินการเอกชนที่ฮั้วประมูลกันทั้งหมด และอัยการสูงสุดได้สั่งฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 ทั้งหมด คดีนี้ส่วนใหญ่ผู้ต้องหาหนีออกนอกประเทศทั้งหมด และที่เพียรออกชี้แจงต่อสาธารณะ ก็เพราะส่วนตัวก็ไม่เห็นด้วยกับการชี้มูลของป.ป.ช. ที่ว่าแม้กระบวนการจัดซื้อรถอเนกประสงค์จะเริ่มก่อนที่นายนิพนธ์เข้ามาดำรงตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา แต่มีคณะกรรมการตรวจรับรับรองการจัดซื้อแล้ว ถือว่ากระบวนการตรวจรับสมบูรณ์ อบจ.จะต้องอนุมัติการเบิกจ่ายนั้น เพราะครั้งนั้นตนมอบหมายปลัด อบจ.ไปรับมอบแทนก่อน ซึ่ง ปลัด อบจ. มีอำนาจลงนามจัดซื้อจัดจ้างในโครงการไม่เกิน 1 ล้านบาท แต่รถที่รับมอบมูลค่า 25 ล้านบาท ดังนั้น จึงไม่สามารถรับมอบได้ตั้งแต่แรกแล้ว และกระบวนการประมูลไม่ถูกต้อง จะรับมอบและอนุมัติเบิกจ่ายได้อย่างไร เพราะคนตรวจรับไม่มีอำนาจ
“ผมแจ้งความดำเนินคดีนี้แหละครับเลยเป็นที่มาของหมายจับ ถ้าเราจะอ้างว่าฮั้วไม่ฮั้วไม่เกี่ยว รับมาแล้วต้องจ่ายอย่างนี้รัฐเสียหาย รัฐก็คือภาษีประชาชน ถ้าใช้บรรทัดฐานฮั้วแล้วก็ต้องจ่าย แล้วใครจะดูแลภาษีประชาชน” นายนิพนธ์กล่าว
ส่วนที่ตนไม่ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็เพราะกรณที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (6) และมาตรา 98 (8) หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 22/2564) แม้ศาลจะรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย แต่ก็พิจารณาด้วยว่า ยังไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง จึงมีคำสั่งว่าผู้ถูกร้องไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง จึงไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และยืนยันว่า ตนไม่ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี
แจงจัดสรรที่ดิน
นายนิพนธ์ ชี้แจงต่อถึงกรณีการออกโฉนดที่ดินบนเกาะนุ้ยนอก กรมที่ดินได้ทำสรุปรายงานให้ทราบแล้วเมื่อ 8ธ.ค. 64 โดยตนได้ลงนามว่า ทราบ ให้ดำเนินการตามระเบียบกฎหมายอย่างเคร่งครัดตอบกลับเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 64 เรื่องนี้ไม่ปล่อยปละละเลยมีการสอบเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ และได้เพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวและให้ออกจากราชการแล้วและตั้งกรรมการสอบผู้มีส่วนเรียบร้อย
ส่วนนโยบายการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินนั้น ไม่เคยรู้จักใครทั้งนั้น ถือหลักว่าถ้าเข้าข่ายมีสิทธิ์จะได้ก็ควรได้ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร เพราะกระบวนการออกโฉนด รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดจังหวัดที่จะทำการออกโฉนดเท่านั้น ส่วนผู้ว่าจังหวัดจะเป็นผู้ประกาศท้องที่ที่จะออกโฉนดอีกที ซึ่งตั้งแต่ตนมารับตำแหน่ง ได้แกโฉนดไปแล้ว 300,000 กว่าแปลง บางที่ชาวบ้านยื่นสค.1 ตั้งแต่ปี 2553 ออกโฉนดไปแล้ว 200,000 ราย จากที่มายื่นขอ 400,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ติดปัญหาแนวเขตที่ดิน ซึ่งต้องพิสูจน์ก่อนว่า เข้ามาในที่ดินของรัฐ ถ้าไม่ ก็พร้อมออกโฉนดให้โดยเร็วที่สุด