ป.ป.ช.ชี้มูล อดีตพลังาน อุตรดิตถ์-ขรก.รวม 3 ราย ทุจริตเบิกเงินค่าอาหารกลางวันผู้ร่วมโครงการบ่อหมักชีวภาพ พบพฤติการณ์จัดทำเอกสารเบิกจ่ายไม่ตรงกับความจริง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวอ้างอิงข้อมูลจากเพจชมรมSTRONGต้านทุจริตประเทศไทย ว่าเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. นายวิวัฒน์ เจริญฉ่ำ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 6 ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 6 แถลงข่าวผลการดำเนินงานด้านปราบปรามการทุจริต โดยเปิดเผยว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดในเรื่องที่สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 6 ดำเนินการไต่สวน จำนวน 1 เรื่อง
กรณีกล่าวหา พลังงานจังหวัดอุตรดิตถ์ กับพวก ทุจริตเบิกจ่ายเงินค่าอาหารกลางวัน อาหารว่างและเครื่องดื่มของผู้เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตรการผลิตบ่อหมักแก๊สชีวภาพ โดยมี
1. นายสัตยา อาจหาญ ผู้ถูกกล่าวหาที่1 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพลังงานจังหวัดอุตรดิตถ์
2. นายชัยสิทธิ์ สนิทไทย ผู้ถูกกล่าวหาที่2 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายช่างเทคนิคปฏิบัติงาน
3. นางสาวฉันท์ชนก โพธิ์จันทร์ เมื่อครั้งเป็นลูกจ้างสำนักงานพลังงานจังหวัดอุตรดิตถ์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3
จากกรณีการทุจริตดังกล่าว พบพฤติการณ์ในการกระทำความผิด ดังนี้
จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อกระทรวงพลังงานได้โอนจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับใช้จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรการผลิตบ่อหมักแก๊สชีวภาพ ในปีงบประมาณ 2558 ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ซึ่งขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งพลังงานจังหวัดอุตรดิตถ์ จะเป็นผู้ร่างแผนงานโครงการทั้งหมดซึ่งกำหนดจัดฝึกอบรมทั้งหมด 12 แห่ง แห่งละ 2 - 15 วัน และได้สั่งการให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 จัดทำ พิมพ์เอกสารขออนุมัติโครงการ และรายละเอียดประกอบ เพื่อนำไปให้ผู้ถูกล่าวหาที่ 2 ลงนามในฐานะผู้เสนอและขออนุมัติโครงการ จากนั้นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จึงลงนามอนุมัติโครงการ
ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้สั่งการให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และข้าราชการภายในสำนักงานพลังงานจังหวัดอุตรดิตถ์อีก 2 ราย ยืมเงินทดรองราชการจากงบประมาณโครงการ แล้วนำไปมอบให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดฝึกอบรม จำนวน 4 ครั้ง รวมเป็นเงิน 305,800 บาท (สำหรับค่าอาหารกลางวัน ค่าอาหารว่าง/เครื่องดื่ม และค่าวิทยากร โดยให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 เป็นผู้จัดพิมพ์เอกสารขออนุมัติยืมเงิน พร้อมรายละเอียดประกอบ #โดยการจัดฝึกอบรมในแต่ละพื้นที่ไม่เป็นไปตามวันเวลาและสถานที่รวมทั้งจัดฝึกอบรมไม่ครบจำนวนวัน ตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 อนุมัติโครงการ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่กลับสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลการฝึกอบรมและชาวบ้านผู้เข้าร่วมฝึกอบรมลงชื่อในแบบรายชื่อไว้เพื่อเป็นหลักฐานว่ามีการจัดฝึกอบรมครบจำนวนวันตามที่กำหนดในโครงการ #ซึ่งแท้จริงแล้วมีการฝึกอบรมเพียงแห่งละหนึ่งวันเท่านั้น
ภายหลังจากที่ได้จัดฝึกอบรมในแต่ละพื้นที่เสร็จ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้สั่งการด้วยวาจาให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 จัดทำเอกสารขออนุมัติส่งใช้เงินยืม และเอกสารประกอบการเบิกจ่าย อันมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำนวนวัน เวลาและสถานที่ ในการจัดฝึกอบรมไม่ตรงตามความจริง รวมทั้งสั่งการให้นักศึกษาฝึกงานของสำนักงานพลังงานจังหวัดอุตรดิตถในขณะนั้น #ทำการปลอมแปลงลายมือชื่อบุคคล 3 ราย ในใบสำคัญรับเงินเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจว่าบุคคลทั้งสามเป็นผู้รับเงินค่าจัดทำอาหารกลางวัน อาหารว่างและเครื่องดื่ม จากสำนักงานพลังงานจังหวัดอุตรดิตถ์ ทั้งที่บุคคลทั้งสามมิได้รับเงินแต่อย่างใด จากนั้นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จึงลงนามอนุมัติให้หักล้างเงินยืมทดรองราชการ..เต็มจำนวนเงินที่ยืมทั้ง 4 ครั้ง โดยไม่เหลือเงินส่งคืน ทั้งที่ตนเองเป็นผู้ถือเงิน และทราบข้อเท็จจริงอยู่แล้วว่าเอกสารขออนุมัติส่งใช้เงินยืมทดรองราชการและเอกสารประกอบการเบิกจ่ายเงินโครงการ มีข้อเท็จจริง
เกี่ยวกับจำนวนวัน เวลา และสถานที่ในการจัดฝึกอบรมอันเป็นเท็จ และมีการปลอมแปลงลายมือชื่อ เพื่อใช้เป็นเอกสารหลักฐานประกอบในการที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้เบียดบังเงินค่าใช้จ่ายในส่วนค่าอาหารกลางวัน ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม ที่ได้รับมอบมาจากข้าราชการผู้ยืมเงินทดรองราชการทั้ง 3 ราย จำนวน 4 ครั้ง ไปเป็นของตนเองโดยทุจริต
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้
1. การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 157 มาตรา 162 (4) มาตรา 26 4 มาตรา 265 และมาตรา 268 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1(ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 9ㆍ และมาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 82 (2) ประกอบมาตรา 85 (7) และมาตรา 85 (1) และ (4)
2. การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 มีมูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 82 (2) และมาตรา 83 (4)
3. ให้กันผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ไว้เป็นพยาน ตามประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการกันบุคคลไว้เป็นพยาน โดยไม่ดำเนินคดี พ.ศ.2561 ทั้งนี้ ให้แจ้งกระทรวงพลังงาน ดำเนินการหาผู้รับผิดทางละเมิดต่อไปด้วย