เลขาฯ สมช. เตรียมชง ศบค. ปรับโซนสี สธ.เสนอลดพื้นที่ควบคุม จาก 44 เหลือ 21 จังหวัด พร้อมเคาะมาตรการรับสงกรานต์ ยันหน้ากากอนามัย - พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังจำเป็นต่อการควบคุมโรค
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2565 พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศปก.ศบค.) กล่าวถึงการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) ชุดใหญ่ ในวันที่ 18 มี.ค.ว่า จะมีการเสนอมาตรการเพื่อผ่อนคลายในหลายเรื่อง เป็นไปตามวงรอบที่ประเมินตามสถานการณ์ และปรับพื้นที่สถานการณ์ในบางพื้นที่ โดยแต่ละข้อเสนอจะต้องได้รับความเห็นชอบจาก ศบค. เช่น จากสีเหลืองเป็นสีส้ม หรือจากสีส้มเป็นสีเหลือง ในบางพื้นที่อาจจะเห็นว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้น แต่ถ้าประเมินดูรายพื้นที่จะเห็นว่าบางพื้นที่ทรงตัวและจำนวนลดลง ขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้ที่หายป่วยจากการรักษามีจำนวนใกล้เคียงกันต่อเนื่อง จึงจะปรับลดบางพื้นที่ให้ผ่อนคลายมากขึ้น
ชงมาตรการโซนนิ่งจัดงานสงกรานต์
พล.อ.สุพจน์ กล่าวด้วยว่า จะพิจารณามาตรการการจัดงานสงกรานต์ โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ทำข้อมูลเตรียมเสนอไว้แล้ว และจะนำมาหารือในที่ประชุม ศปก.ศบค. ก่อนเสนอ ศบค.ชุดใหญ่ โดยจะเสนอให้จัดได้ภายใต้มาตรการป้องกัน สำหรับ 3 หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องคือ สธ. กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งจะนำข้อมูลมาชี้แจง เบื้องต้นสามารถจัดกิจกรรมรดน้ำดำหัว สรงน้ำพระ ร่วมกิจกรรมที่วัด และร่วมกิจกรรมประเพณีสงกรานต์ได้ แต่ทุกที่ต้องจัดโดยระวัง โดยจะขอให้ใช้กลไกของท้องถิ่นมาช่วยกำกับ ลงไปถึงระดับหมู่บ้าน และจะพยายามจัดโซนนิ่งให้ทำกิจกรรมตามประเพณีภายใต้การควบคุมโรค
ผ่อนคลายสถานบันเทิงต้องดูรอบคอบ
พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ยังมีเรื่องที่ สธ.วางแผนปรับสถานการณ์ไปสู่โรคติดต่อทั่วไปตามที่มีข่าว โดยจะเป็นแผนและกรอบให้ที่ประชุม ศบค.ทราบก่อนจะให้สาธารณสุขนำไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนเรื่องข้อเสนอให้ผ่อนคลายเปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์คาราโอเกะทั่วประเทศ เรื่องนี้มีการเสนอเข้ามาทุกรอบที่มีการประชุม ศบค. และเราพยายามช่วยผู้ประกอบการที่ทำกิจการด้านนี้อยู่ แต่ต้องดูปัจจัยหลายประเด็น และพิจารณาให้รอบคอบ เนื่องจากกิจการและกิจกรรมประเภทนี้มีความเสี่ยงสูง และส่วนใหญ่เป็นสถานที่ปิด มีโอกาสแพร่เชื้อสูง และครั้งนี้ก็จะเสนอให้ ศบค. พิจารณา โดยดูปัจจัยขณะนี้ที่โอไอครอนแพร่กระจายเร็ว และไม่รุนแรง ทั้งยังมีปัญหาเรื่องผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และกลุ่มเปราะบาง มีอัตราเสียชีวิตค่อนข้างสูงที่ต้องคำนึงถึง หากตัดสินใจเปิดที่มีความเสี่ยงมาก แล้วต้องลงทุนสูง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็เป็นเรื่องน่ากังวล จึงต้องพิจารณาให้รอบด้าน
ชงตรวจ ATK แทน RT-PCR ก่อนเข้าประเทศ
พล.อ.สุพจน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะพิจารณาปรับหลักเกณฑ์การเข้าประเทศ ในรูปแบบไทยแลนด์พาส โดยครั้งที่แล้วได้ปรับเรื่องการตรวจการเข้าประเทศ จาก 2 ครั้งให้เหลือ 1 ครั้ง แต่ครั้งนี้จะพิจารณาปัจจัยทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อให้คนไทยและนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศสะดวกมากขึ้น ควบคู่ไปกับมาตรการควบคุมโรคที่ยอมรับได้ เช่น การปรับเรื่องการตรวจ RT-PCR ที่ยังยืนยันว่า เมื่อมาถึงประเทศจะต้องตรวจ 1 ครั้ง โดยอาจจะปรับใช้ให้เป็นการตรวจ RT-PCR หรือ ATK 1 ครั้งได้ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าจะปรับได้ขนาดไหน เนื่องจากพื้นที่ท่องเที่ยวยังมีตัวเลขติดเชื้อสูง แต่ยืนยันว่าจะปรับแน่ และจะทำข้อแนะนำเรื่องการตรวจครั้งที่ 2 ในวันที่ 5 ที่สามารถตรวจ ATK ประเมินด้วยตัวเองได้ในแบบฟอร์มทางแอพพลิเคชั่นที่กำหนด
เมื่อถามว่า การผ่อนคลายมาตรการจะสวนทางกับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นหรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ไม่สวนทาง และ สธ.คาดการณ์ไว้แล้วตามฉากทัศน์ และจำเป็นต้องผ่อนคลายเพราะอยากให้เศรษฐกิจเดิน ให้ประชาชนมีงานทำ และมีรายได้ ฉะนั้นต้องทำ โดยมีมาตรการที่ดีที่สุดออกมาช่วย เพื่อให้ตัวเลขการติดเชื้อไม่มีอันตราย ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือการฉีดวัคซีนที่จะทำให้อัตราติดเชื้อน้อย หรือเมื่อติดแล้วไม่รุนแรง ที่เป็นห่วงขณะนี้คือ 90% ของตัวเลขผู้เสียชีวิตต่อเนื่องมา 2-3 เดือน คือผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว ดังนั้นขอย้ำเรื่องการรับวัคซีน โดยดูวัคซีนเข็มสุดท้ายที่ได้รับ หากมีเวลา 3-6 เดือนขอให้ไปบูสเข็มต่อไปจึงขอเชิญชวน ผู้เปราะบาง ผู้สูงอายุ และประชาชนทั่วไป ไปขอรับการฉีดวัคซีน ที่เวลานี้ได้กระจายไปทั่วประเทศ และทำให้เข้าถึงได้ง่าย
หน้ากากอนามัย-พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังจำเป็น
เมื่อถามอีกว่า การเตรียมให้เปิดหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะได้ ความชัดเจนเรื่องนี้เป็นอย่างไร พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ช่วงนี้จะได้ยิน 2 เรื่องคือ การปรับสถานการณ์ให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น และเข้าสู่การรักษาพยาบาลได้แบบโรคติดต่อทั่วไป ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นแผนของ สธ.ที่จะนำเสนอเพื่อให้ ศบค. กำหนดกรอบแนวทางเบื้องต้น ส่วนที่ประชุมชุดใหญ่จะพิจารณาหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนเรื่องการเปิดหน้ากากอนามัย พล.อ.สุพจน์ ยืนยันว่า การสวมหน้ากากอนามัยยังจำเป็นตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่เราพิจารณาว่ามีความเหมาะสมที่จะเปิดได้อย่างปลอดภัย เพราะผู้ติดเชื้อหายแล้ว ยังมีโอกาสติด ผู้ติดเชื้อติดเชื้อที่ไม่รู้ว่าติด ก็มีโอกาสแพร่เชื้อ และเมื่อย้อนไปดู 2 ปีที่ผ่านมา หน้ากากอนามัยเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ป้องกันไม่ให้ประเทศเกิดการระบาดเป็นแสนคน หรือเป็นล้านคนเหมือนกับบางประเทศ ดังนั้นข่าวที่ออกมาอาจจะเป็นแผนการในอนาคต ในช่วงเวลา 3 เดือน หรือ 6 เดือนข้างหน้า โดยจะต้องประเมินสถานการณ์ให้ต่อเนื่องแต่ตอนนี้หน้ากากอนามัยมีความจำเป็น
เมื่อถามว่า มีโอกาสที่จะผ่อนคลายให้การจัดกิจกรรม เช่น คอนเสิร์ต งานมหรสพในห้องปิดได้หรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า เรามีมาตรการมาต่อเนื่องว่าการจัดกิจกรรมแต่ละประเภทมีข้อกำหนดอย่างไร มีเรื่องใดต้องขออนุญาต คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และการให้รวมตัวกันจำนวนกี่คน ยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ต้องทำต่อ ยกเว้นที่ประชุม ศบค. มีการปรับพื้นที่สถานการณ์ของพื้นที่นั้นๆ จะผ่อนคลายหรือเคร่งครัดขึ้นก็แล้วแต่ โดยทุกเรื่องที่เสนอจะต้องผ่านความเห็นชอบจาก ศบค.ก่อน เช่น เรื่องการเปิดหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ
เมื่อถามว่า จะเสนอให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ยืนยันว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังมีความจำเป็นในช่วงเวลานี้ เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ป้องกันประชาชน เมื่อใดที่หมดความจำเป็นจะพิจารณาและเสนอผู้ที่เกี่ยวข้องให้ยกเลิกทันที
เมื่อถามย้ำว่า จะยกเลิก เมื่อมีการประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่นหรือไม่ พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า แน่นอน เมื่อถึงขั้นนั้น ก็ใช้กฎหมายปกติ
ปรับพื้นที่สีส้มเหลือ 21 จังหวัดจาก 44 จังหวัด
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับข้อเสนอการปรับพื้นที่สถานการณ์ที่กระทรวงสาธารณสุขจะเสนอให้ ศบค.พิจารณา เป็นการปรับพื้นที่โดยดูจากอัตราการครองเตียงของผู้ป่วยระดับ 2 , 3 และอัตราการเสียชีวิต รวมถึงจำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รวมถึงการระบาดเป็นคลัสเตอร์ ทั้งนี้จะมีการปรับพื้นที่ควบคุม จากเดิม 44 จังหวัดเหลือ 21 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวังระวังจาก 25 จังหวัด เป็น 47 จังหวัด ส่วนพื้นที่สีฟ้าหรือพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว ได้เพิ่มจาก 8 จังหวัดเป็น 9 จังหวัด