ผู้ชุมนุม 3 กลุ่มรวมตัวบุกทำเนียบฯ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ สกท.ทวงมติ ครม.อนุมัติงบฉุกเฉินฯ 2 พันล้านแก้หนี้ ขณะที่เครือข่ายแรงงาน ขอรัฐเยียวยาพิษโควิด ด้านพีมูฟ ออกแถลงการณ์จี้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2565 จากทำเนียบรัฐบาลว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ มีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวน 3 กลุ่มรวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่บริเวณแยกนางเลิ้ง ถนนพิษณุโลก เพื่อเดินเท้ามายังทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปิดถนนพิษณุโลก ตั้งแต่สะพานชมัยมรุเชฐ จนถึงแยกสวนมิสกวัน รวมถึงถนนราชดำเนินที่ปิดตั้งแต่ แยกสวนมิสกวัน ถึงแยกมัฆวานรังสรรค์ พร้อมกันนี้ยังใช้แผงเหล็กและรั้วลวดหนามหีบเพลง มาวางเป็นแนวป้องกันบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ เพื่อไม่ให้ผู้ชุมนุมประชิดรั้วทำเนียบได้
สำหรับข้อเรียกร้องของแต่กลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
-
สหพันธ์เกษตรกรแห่งประเทศไทย หรือ สกท. เดินทางมาเพื่อติดตามมติครม. ว่าจะอนุมัติ งบฉุกเฉินฯ 2 พันล้านบาท มาใช้ในกองทุนฟื้นฟูเกษตรกร หรือไม่
-
ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) นำโดยนายจำนงค์ หนูพันธ์ ประธานขบวนการพีมูฟ ขอให้ยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน และการดำเนินคดีกับแกนนำกลุ่ม คดีร่วมกันฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กรณีชุมนุม ระหว่างวันที่20 ม.ค.-3 ก.พ. ที่ผ่านมา และได้มีการอ่านแถลงการณ์
-
เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ที่มาร่วมชุมนุม ขอให้รัฐบาล เยียวยาแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยใช้งบกลางมาเยียวยาก่อน และให้ไปเก็บกับนายจ้างภายหลัง
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง ปลดปล่อยอิสรภาพประชาชน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ระบุว่า
พวกเราขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ พีมูฟ คือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายและกฎหมายของรัฐจากทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม จนถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ปีนี้ พวกเราได้ออกมาเคลื่อนไหวยาวนานถึง 15 วัน เพื่อ “ทวงสิทธิ” และ “สร้างอำนาจกำหนดชีวิตประชาชน” จนเมื่อบรรลุข้อเรียกร้องแล้วจึงได้ยุติการชุมนุมและเดินทางกลับภูมิลำเนา
ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งได้ออกหมายเรียกสมาชิกพีมูฟจำนวน 11 คน ในข้อหา “ร่วมกันฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ” และเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2565 ก็ได้มีการออกหมายเรียกกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ออกมาเรียกร้องสิทธิร่วมกับพวกเราเพิ่มอีก 6 คนในข้อหาเดียวกัน รวมทั้งสิ้น 2 หมายเรียก มีผู้ถูกออกหมายถึง 16 คน
พีมูฟเห็นว่าการแจ้งข้อกล่าวหาและออกหมายเรียกดังกล่าวคือความไม่เป็นธรรม และยังแสดงให้เห็นถึงความ “หน้าไหว้ หลังหลอก” ของรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากการกลับมาเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นไปเพื่อการทวงสิทธิที่รัฐบาลและหน่วยงานรัฐได้พรากไปจากประชาชน พี่น้องต้องเดินทางมาจากหลากหลายพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดเพื่อเรียกร้องสิทธิที่ตนเองพึงมี การใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อจัดการกับพี่น้องเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่ไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง และยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนขึ้นไปอีกว่าตั้งแต่มีการนำ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กลับมาใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2563 โดยอ้างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด เป็นเพียงการอ้างมาตรการทางกฎหมายในการ “ปิดปาก” ประชาชนและกดหัวพวกเราให้จมดินเท่านั้น
ณ ที่นี้ พวกเราพีมูฟขอประกาศจุดยืนของเราต่อเพื่อนๆ ผู้ร่วมอุดมการณ์ และต่อสาธารณชน ดังนี้
-
เรายืนยันว่า การชุมนุมติดตามการแก้ไขปัญหาของพีมูฟเป็นไปตามหลักสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามหลักการประชาธิปไตยที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญทุกฉบับและหลักสิทธิมนุษยชนสากล ไม่ควรถูกจำกัดด้วยพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉะนั้น เราจะไม่ไปรายงานตัวตามหมายเรียก ที่นัดหมายให้เราต้องเข้าพบพนักงานสอบสวนในวันนี้
-
เราขอเรียกร้องให้ยกเลิกการออกหมายเรียกตัวแทนพีมูฟและนักเคลื่อนไหวทั้ง 16 คนโดยทันที และต้องยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตลอดจนยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ที่ถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิของประชาชนอย่างพร่ำเพรื่อ
-
หลังจากนี้ พีมูฟจะประสานงานเครือข่ายทั่วประเทศเพื่อติดตามให้ยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต่อไป เพื่อปลดปล่อยอิสรภาพของพวกเราในนามประชาชนให้สามารถมีสิทธิ มีเสียงบนแผ่นดินประเทศนี้อย่างแท้จริง