สธ.เผยสิงคโปร์-ออสเตรเลีย หลังเปิดประเทศติดเชื้อสูงกว่าไทยหลายเท่า พร้อมคาดการณ์ 3 ฉากทัศน์เมื่อไทยเปิดบ้าน ดีสุดยอดป่วยลดเหลือ 5,000 ราย แย่สุดยอดพุ่งกลับมาหลักหมื่น ย้ำไทยต้องระวังคุมมาตรการเข้ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2564 กระทรวงสาธารณสุขจัดแถลงข่าวสถานการณ์โควิด โดย นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยผ่านการระบาดที่มีคนติดโควิดจำนวนมากมาแล้ว กำลังเข้าสู่การเปิดประเทศ ซึ่งการฉีดวัคซีนเป็นมาตรการหลัก แต่ไม่ใช่มาตรการเดียว จำเป็นต้องใช้มาตรการเสริมเพิ่มเติมจึงจะสำเร็จ
โดยภาพรวมฉีดวัคซีนสะสมแล้ว 72 ล้านโดส แบ่งเป็น เข็มแรก 41 ล้านโดส คิดเป็น 57 % เข็ม 2 จำนวน 29 ล้านโดส คิดเป็น 40.9% และเป็นเข็ม 3 จำนวน 2.2 ล้านคน คิดเป็น 3.1% ทั้งนี้ การฉีดวัดซีนของไทยเป็นอันดับ 3 ของอาเซียนรองจากอินโดนีเซียซึ่งฉีดไป 185 ล้านโดส และเวียดนามฉีดไป 74 ล้านโดส แต่เปอร์เซ็นต์การครอบคลุมประชากรอยู่ที่ 54.4% น้อยกว่าประเทศไทย ที่มีความครอบคลุมอยู่ที่ 61.5% เพราะเวียดนามมีประชากรมากกว่าไทย
ส่วนพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 17 จังหวัด ด้านสาธารณสุข ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) จัดทำแผนเสนอมาที่กระทรวง ดูความพร้อมแผนรองรับ และติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ และทำงานร่วมกับกระทวง หน่วยงานต่างๆ ด้วย ภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิดอยู่ที่ 66% แบ่งเป็น เข็ม 1 คิดเป็น 77.7% เข็ม 2 คิดเป็น 56.5% โดย กทม.ฉีดเข็ม 1 ไปแล้วจำนวน 8.3 ล้านโดส เกินเป้าหมาย 7.9 ล้านคน ส่วนจังหวัดที่มีอัตราการฉีดสูงอื่นๆ คือภูเก็ต และชลบุรี ฉีดวัคซีนครอบคลุม 80%
ขณะที่จังหวัดอื่นๆ ตัวเลขลดหลั่นกัน และมีจังหวัดจับตามอง 10 จังหวัด คือ ตาก ราชบุรี จันทบุรี ระยอง นครราชมีมา นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เพราะมีคลัสเตอร์ และแนวโน้มเชิดหัวขึ้น เน้นส่งวัคซีนไปฉีดเพิ่มเติม ภาพรวมการฉีดเข็ม 1 ให้กับประชาชนในจังหวัดนั้นๆ แล้วโดยเฉลี่ยประมาณ 50% ของประชาชน ขณะที่เข็มที่สองมีการฉีดวัคซีนไปแล้วประมาณ 35%
นพ.เฉวตสรรร กล่าวอีกว่า สถานการณ์การระบาดของโควิดในภาพรวม ขณะนี้ยังมีการติดเชื้อต่อเนื่อง แต่อัตราปอดอักเสบลดลงเรื่อยๆ ในรอบ 2-3 สัปดาห์ ส่วนผู้เสียชีวิตต่ำกว่า 100 รายมาระยะหนึ่ง แต่ยังแกว่งตัว บางวันสูงขึ้น
การคาดการณ์ ฉากทัศน์สถานการณ์โควิด ซึ่งก่อนหน้านี้ผ่านจุดทางแยกมา และกังวลว่าจะมีการจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจของประชาชนทุกคนในมาตรการต่างๆ แม้ว่ามีบางจุด บางคลัสเตอร์เห็นความไม่ได้เคร่งครัดในมาตรการอยู่บ้าง แต่ภาพรวมทำได้ดี ทำให้การยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่น่าพอใจ
โดย นพ.เฉวตสรรร กล่าวถึงการคาดการณ์ฉากทัศน์ใหม่ออกมาหลังไทยเปิดประเทศแล้ว เป็น 3 ทาง ดังนี้
-
สีเขียว ถ้าติดเชื้อ 1 ราย มีโอกาสแพร่ต่อไปอีกคนลดลง 25% เทียบกับก่อนล็อกดาวน์ แนวโน้มก็จะมีการติดเชื้อลดลงเรื่อย จนถึงราว 5,000 รายต่อวัน ซึ่งตรงนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือปฏิบัติตาม 4 มาตรการหลักอย่างเคร่งครัด คือป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด ดำเนินตามมาตรการ COVID-Free Area, COVID-Free Zone, COVID-Free Setting ตรวจคัดกรงด้วย ATK เฝ้าระวังกลุ่มแรงงานข้ามชาติ และฉีดวัคซีนโควิดได้ตามเป้าหมายในเดือน ต.ค.-ธ.ค.2564
-
สีส้ม ถ้าติดเชื้อ 1 คนโอกาสแพร่ต่อไปอีกคนลดลง 15% เทียบกับก่อนล็อกดาวน์ ซึ่งเป็นผลจากการลงมาตรการปิดสถานที่เสี่ยงมาก งดดื่มสุราในร้านอาหาร จำกัดการรวมกลุ่ม ทำให้มีประสิทธิภาพการป้องกันการระบาดลดลงบ้าง ทั้งนี้ต้องมีการฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยงได้ตามเป้าหมายในเดือน ต.ค.-ธ.ค.2564
-
สีเทา ถ้าทำไม่สำเร็จปล่อยให้อัตราการแพร่กระจายสูงเหมือนก่อนล็อกดาวน์ หากผ่อนคลายมาตรการทั้งหมด และการฉีดวัคซีนโควิดน้อยกว่าเป้าหมายช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.2564 ผู้ติดเชื้อก็อาจจะกลับมาถึงวันละ 10,000 ราย
“จำนวนการติดเชื้อไม่ใช่ตัวชี้วัดความรุนแรงของสถานการณ์เพียงอย่างเดียว ต้องดูระบบสาธารณสุขว่าพร้อมรองรับหรือไม่ คนยังสามารถเข้ารับบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้อย่างเพียงพอด้วย” นพ.เฉวตสรร กล่าว
ส่วนการติดเชื้อรายวันต่อจำนวนประชากรล้านคน หากเทียบกัน 3 ประเทศไทย ประเทศสิงคโปร์ และประเทศออสเตรเลีย พบว่า สิงคโปร์ หลังประกาศเปิดประเทศชัดเจน พบการติดเชื้อสูงกว่าไทย 2 เท่า และออสเตรเลีย เมื่อผ่อนคลายการเดินทาง พบการติดเชื้อสูงกว่าไทย 1.3-1.4 เท่า
จะเห็นได้ว่า หลายประเทศมีอัตราการติดเชื้อที่สูงกว่าไทย แต่ก็ยังยืนยันให้เปิดประเทศได้ ดังนั้นการเดินทางเข้าออก ต้องทำด้วยความระมัดระวังทุกประเทศ ไทยเน้นเปิดประเทศด้วยความระวัง ซึ่งมาตรการต่างๆที่ประกาศสามารถปรับเปลี่ยนได้ หากทำได้ดีก็สามารถผ่อนคลายได้ การผ่อนคลาย เป็นการจูงใจให้คนที่เดินทางเข้ามาไม่ต้องมีภาระ ผู้ว่าราชการในแต่ละจังหวัด มีบทบาทสำคัญมากที่จะทำงานเชื่อมโยงและประสานกับทุกภาคส่วนทั้งภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ภาคบริการเพื่อเตรียมความพร้อมรับผู้เดินทาง
แนวทางรับวัคซีนกระตุ้น ผู้ฉีดแอสตร้าฯครบ 2 เข็ม
ขณะเดียวกัน นพ.เฉวตสรร กล่าวถึงแนวทางการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ผู้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าด้วยว่า คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ได้แนะนำให้ผู้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าครบ 2 เข็ม สามารถกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ประมาณ 6 เดือน หลังการฉีดเข็มที่ 2 โดยเปิดให้ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป และผู้มีความเสี่ยงสูงในการสัมผัสโรคฉีดได้ ซึ่งวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ฉีดไฟเซอร์กระตุ้นเข็มที่ 3 แล้ว
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage