คณะแพทย์ที่ปรึกษา ศบค.เตรียมทบทวนมาตรการคุมโควิดให้เข้มข้นมากขึ้น หลังล็อกดาวน์ 5 วัน การใช้บังคับใช้มาตรการน่าเป็นห่วง ขณะที่ 'พญ.อภิสมัย' ย้ำ อาจปิดให้มากขึ้น-มากที่สุด นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติฉีดวัคซีนโควิดเข็ม 3 ให้บุคลากรแพทย์ พร้อมเห็นชอบฉีดสูตรผสมให้ประชาชน เข็ม 1 เป็นซิโนแวค เข็ม 2 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า
--------------------------------------------------
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2564 พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) กล่าวว่า การระบาดของสายพันธุ์เดลต้า ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินเดีย มีการรายงานแล้วหลายประเทศทั่วโลก เช่น อิสราเอล ญี่ปุ่น อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี มาเลเซีย เวียดนาม อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ไทย รวมถึงสิงคโปร์ ทำให้หลายประเทศต้องปรับมาตรการรับมือกับสถานการณ์ในระยะที่ผ่านมา เช่น อิสราเอล ที่เคยประกาศงดสวมหน้ากากอนามัยเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2564 ได้กลับมาประกาศให้ประชากรกลับมาสวมหน้ากากอนามัยอีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่ประเทศเหล่านี้มียอดการฉีดวัคซีนทั้งประเทศค่อนข้างสูง คงต้องเน้นย้ำอย่างต่อเนื่องว่าแม้จะมีการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มเรื่องมาตรการส่วนตัวยังต้องปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่อง
@ ทบทวนมาตรการคุมโควิด - อาจปรับให้เข้มขึ้น
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ที่ประชุม ศบค.วาระพิเศษ ได้ติดตามมาตรการที่บังคับใช้ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือสีแดงเข้ม รวม 10 จังหวัด หลังดำเนินการมาแล้ว 5 วัน โดยมีรายงานจากศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) พบว่า ตั้งแต่วันที่ 5-14 ก.ค.2564 มีคนฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 217 ราย แบ่งเป็นการฝ่าฝืนออกนอกเคหสถาน 158 ราย และฝ่าฝืนมาตรการรวมกลุ่ม 59 ราย ดำเนินคดีแล้ว 45 ราย ส่วนกระทรวงคมนาคม พบว่า ประชาชนเดินทางอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนข้ามพื้นที่ในจังหวัดเดียวกันและการเดินทางข้ามจังหวัดจากพื้นที่สีแดงเข้มไปจังหวัดอื่น
“จากสถานการณ์ทั้งหมด นำมาสู่ข้อสรุปในที่ประชุม ที่มีความเป็นห่วงว่าอาจจำเป็นต้องปรับมาตรการให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น อาจจำเป็นต้องปิดกิจการบางอย่าง เนื่องจากประกาศสัปดาห์ที่ผ่านมามีการอนุญาตให้เปิดกิจการกิจกรรมถึง 20.00 น.เพื่อให้ประชาชนมีเวลากลับบ้าน และห้ามออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 21.00 น. ที่ประชุมวันนี้มีการพิจารณา ว่า อาจจะปิดให้มากขึ้น ปิดมากที่สุด และอาจจะทำให้มีการปรับมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น ขอให้ติดตามการรายงานเร็วๆนี้” พญ.อภิสมัย กล่าว
พญ.อภิสมัย กล่าวย้ำว่า ที่ผ่านมา มาตรการล็อกดาวน์ที่ใช้สัปดาห์ก่อนเป็นไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน ล็อกดาวน์เป็นพื้นที่ ควบคุมสูงสุดเข้มงวดเฉพาะ 10 จังหวัดไม่ใช่ทั้งประเทศ เพื่อให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด แต่เมื่อมีทบทวนมาตรการ 5 วันที่ผ่านมา พบว่าการบังคับใช้มาตรการยังน่าเป็นห่วง นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.ขอให้คณะแพทย์ที่ปรึกษาทบทวนมาตรการสาธารณสุขเพื่อนำเสนออย่างเร่งด่วน ขอให้สื่อมวลชนและประชาชนติดตาม อาจจะปรับมาตรการให้เข้มข้นจากนี้
@ ย้ำชุดตรวจโควิดที่บ้านแม่นยำน้อย-ต้องตรวจซ้ำ
พญ.อภิสมัย กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังได้หารือ เกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อโควิดให้ครอบคลุมประชาชนมากที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง ซึ่งอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รายงานว่าช่วงที่ผ่านมา ได้ตรวจโควิดให้ประชาชนเฉลี่ยนวันละ 70,000 – 80,000 รายก็ยังไม่เพียงพอ จึงเป็นที่มาของการอนุญาตให้ใช้ Antigen test kit (ATK) ให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจโควิด อย่างไรก็ตามยังมีความเป็นห่วงในแง่ของความแม่นยำ ที่อาจจะมีกรณี False Positive คือไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้อแต่ผลออกมาเป็นบวก แต่พอตรวจซ้ำแล้วไม่เป็นผู้ติดเชื้อ หรือกรณี False Negative คือ เป็นผู้ติดเชื้อ แต่ผลไม่แม่นยำ ทำให้ผลออกมาเป็นลบ อย่างไรก็ตาม การให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจ แม้ว่ามาตรฐานไม่เท่ากับ RT-PCR ก็ยังดีกว่าที่จะไม่ได้ตรวจ แต่ต้องเน้นย้ำว่า เมื่อผลเป็นบวก ต้องขอให้ประชาชนติดตามสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านจะมีการดูแลต่อไป
“สำหรับกรณีผู้ป่วยที่มีผลบวก ต้องเข้ารับการรักษา หากผลเป็นลบ แต่มีประวัติเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง มีคนใกล้ชิดเป็นผู้ติดเชื้อ หรือมีประวัติเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง แม้ผลตรวจจะเป็นลบ ก็ต้องตรวจซ้ำประมาณวันที่ 3-5 เนื่องจากชุดตรวจโควิดอาจจะไม่มีความแม่นยำหรือไวพอ หากมีเชื้อน้อยอาจตรวจไม่พบ ขอให้สำรวจอาการตรวจเอง กักตัวเอง” พญ.อภิสมัย กล่าว
พญ.อภิสมัย กล่าวต่ออีกว่า นายกสภาการแพทย์แผนไทย และอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงประสิทธิภาพการใช้ยาฟ้าทะลายโจรจากการศึกษาวิจัยใช้ในโรงพยาบาลสนาม และการจ่ายยาให้กับผู้ป่วยที่แยกกักตัวที่บ้าน ผลการศึกษาออกมาเป็นที่น่าพอใจ และจะมีการขยายผลใช้ต่อใน community isolation หรือสถานที่กักตัวในชุมชน
@ มติ ศบค.ฉีดเข็ม 3 ให้แพทย์ - สูตรผสมวัคซีนให้ประชาชน
ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวอีกว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ฉีดวัคซีนโควิดเข็มที่ 3 หรือ บูสเตอร์โดส สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม โดยเข็มต่อไปจะฉีดกระตุ้นด้วยแอสตร้าเซนเนก้าหรือ mRNA ได้ ที่ประชุมมีมติด้วยว่า ในส่วนของประชาชน มีข้อสรุปว่าสามารถใช้ซิโนแวคเข็มที่ 1 และกระตุ้นเข็ม 2 โดยแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้เรียนให้ที่ประชุมรับทราบว่า หลังจากรับฟังจากหลายหน่วยงาน การใช้วัคซีนผสมต่างชนิดกัน ประสิทธิภาพเป็นไปในทิศทางที่น่าพอใจ ส่วนองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ให้การยอมรับ จึงเป็นข้อสรุปของที่ประชุมว่าสามารถใชได้
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/