ปลัด ศธ.แจงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความเรียกร้องให้นำแท็บเล็ตพีซีมาใช้ในระบบการศึกษาไทย เผยแท็บเล็ตตกยุค สื่อมีน้อย ไม่รองรับแอปพลิเคชันปัจจุบัน ผลวิจัยชี้เรียนออนไลน์มีปัญหาหลายส่วน เด็กเครียด-เบื่ออาหาร-ออกกลางคัน การตอบสนองต่างกัน ย้ำไม่เหมาะกับนักเรียนทุกระดับชั้น
..............................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ค.2564 จากกรณีข้อเรียกร้องที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอให้นำแท็บเล็ตพีซีมาใช้ในระบบการศึกษาของไทย โดยโพสต์ข้อความระบุถึงการศึกษาไทยว่าช่วงสถานการณ์โควิด การปรับตัวเพื่อเรียนออนไลน์มีความจำเป็นเพื่อความปลอดภัยจากการติดเชื้อและให้การเรียนการสอนดำเนินไปได้โดยไม่ติดขัด แท็บเล็ตพีซี จึงเป็นอุปกรณ์ทางเลือกที่พัฒนาให้นักเรียนรู้จักแสวงหาความรู้ และแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง พร้อมกับปรับบทบาทครูเป็นผู้อำนวยการสอนเท่านั้น จึงหวังว่ารัฐบาลจะนำนโยบายแท็บเล็ตพีซีและการเรียนออนไลน์เข้ามาใช้ในสถานศึกษาอย่างจริงจังและลงทุนให้ทุกโรงเรียนของรัฐมีอุปกรณ์การเรียนการสอนทั้งครูผู้สอนและนักเรียนนั้น
นายสุภัทร จำปาทอง ปลัด ศธ. กล่าวว่า ศธ.ได้จัดซื้อแท็บเล็ตพีซีให้กับนักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศ ครั้งแรกในปี 2555 จำนวน 8 แสนเครื่องเศษ โดยในปี 2556 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้จัดซื้อให้ จากบริษัทของประเทศจีนโดยตรง และจัดซื้อครั้งที่ 2 สำหรับนักเรียน ป.1 และ ม.1 ทั้งประเทศ จำนวน 1 แสน 6 หมื่นเครื่องเศษ โดยใช้วิธีการจัดซื้อแบบ e-Bidding ภายในประเทศไทย ต่อมาในปี 2557 ได้มีการประเมินผลการใช้แท็บเล็ตพีซีในการจัดการเรียนการสอนของนักเรียน โดยสรุปคือ
แท็บเล็ตพีซี มีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน นักเรียนและครู มีความพึงพอใจสูง ในการใช้ในการเรียนการสอน อีกทั้งแท็บเล็ตพีซีตอบสนองการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีความแตกต่างของบุคคลด้านความพร้อมทางสติปัญญา ซึ่งผลการตอบรับภาพรวมในระดับโรงเรียนเห็นควรดำเนินโครงการ แท็บเล็ตพีซี ต่อเนื่อง และจากสภาพปัญหาการใช้งาน จนถึงปัจจุบันพบว่า แท็บเล็ตพีซียังมีจุดที่ต้องได้รับการพัฒนาหลายส่วน เช่น คุณสมบัติ (Spec) แท็บเล็ตพีซีในสมัยนั้นค่อนข้างต่ำ การทำงานช้า และอายุการใช้งานสั้นปัจจุบันผ่านมา 8 ปี หมดอายุการใช้งาน ไม่สามารถรองรับแอปพลิเคชันในปัจจุบัน สื่อแอปพลิเคชันมีน้อย ไม่เพียงพอในการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน ระบบปฏิบัติการ (OS) มีข้อจำกัดในการรองรับสื่ออิเล็กทรอนิกส์รูปแบบต่างๆ มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลจำกัด หรือจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อการใช้งานสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เพียงพอสำหรับการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เป็นต้น
นายสุภัทร กล่าวต่อว่า เมื่อปี 2555 มีงานงานวิจัยของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พบว่า แท็บเล็ตพีซี เหมาะสมสำหรับนักเรียนระดับชั้น ป.4 ขึ้นไป ดังนั้นในกรณีจะจัดหา แท็บเล็ตพีซี ให้กับนักเรียนในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด เห็นควรจัดหาให้ระดับมัธยมศึกษาก่อนเป็นลำดับแรก เนื่องจากนักเรียนกลุ่มนี้ใช้รูปแบบการเรียนการสอนออนไลน์อยู่เดิมแล้ว ในส่วนของระดับประถมศึกษายังมีการใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย ได้แก่ On Air, On Hand, On Demand นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบการจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ที่มาช่วยสนับสนุนการเรียนรู้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้ โดยเนื้อหาปัจจุบันนำเสนอในรูปแบบ New DLTV สามารถเข้าเรียนเมื่อใดก็ได้ เรียนล่วงหน้า ย้อนหลังได้ ผ่านเว็บไซต์ www.dltv.ac.th หรือผ่าน แอปพลิเคชัน DLTV จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ที่เพียงพอสำหรับนักเรียนในระดับประถมศึกษา ตลอดจนกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับ แท็บเล็ตพีซี ลำดับแรกๆ ควรเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาที่ด้อยโอกาสขาดแคลนอุปกรณ์ในการเรียน เช่น นักเรียนในกองทุน กสศ. รวมทั้ง Spec ของ แท็บเล็ตพีซี ควรเป็นคุณลักษณะที่ใช้งานได้จริงในปัจจุบันรองรับสื่อ Application ได้ทุกประเภท สำหรับการจัดหาควรใช้วิธีการเช่า ไม่ควรจัดซื้อ เพราะสามารถใช้งบดำเนินการสำหรับบริหารจัดการได้เลย เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดคลี่คลาย อาจจะไม่ต้องเช่าต่อก็ได้
นายสุภัทร กล่าวอีกว่า จากผลงานวิจัยจากครอบครัวในทวีปเอเชียและยุโรป โดยงานวิจัยมหาวิทยาลัยมิชิแกนเรื่องผลกระทบของการเรียนออนไลน์ ในผู้ปกครองชาวอเมริกัน 405 คน ที่มีลูกอย่างน้อย 1 คนอายุต่ำกว่า 12 ปี และครึ่งหนึ่งของผู้ปกครองมีลูกอายุระหว่าง 2-5 ปี พบว่า ร้อยละ 40 ของผู้ปกครองรู้สึกเครียดจากการที่ลูกต้องเรียนออนไลน์ โดย ร้อยละ 25 ให้ข้อมูลว่า บ้านมีอุปกรณ์หรือสภาพไม่พร้อมต่อการเรียนออนไลน์ ส่วนผลสำรวจของ Washington Post จากผู้ปกครองที่มีลูกต้องเรียนออนไลน์ 60 คน พบว่าลูกตัวเองเครียดขึ้น ก้าวร้าวขึ้น เบื่ออาหาร บ่นปวดหลัง มีปัญหาเจ็บตาหรือตาอ่อนล้า ขณะที่งานวิจัยในประเทศจีน สำรวจนักเรียนในมณฑลหูเป่ยที่อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยเก็บข้อมูลนักเรียนระดับชั้น ป. 2-6 จำนวน 2,330 คน ระหว่าง 28 ก.พ.-5 มี.ค. 2563 พบว่ามีนักเรียนมากถึง ร้อยละ 40 ที่เผชิญความเครียดและวิตกกังวล สอดคล้องกับประเทศไทยที่ล่าสุดมีนักเรียนและนักศึกษาจำนวนมากเครียดจากการเรียนออนไลน์ เพราะไม่สามารถปรับตัวได้ ทำให้เกิดความทุกข์ และมีบางคนที่สุดท้ายก็นำไปสู่โศกนาฏกรรม
นายสุภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดจึงจำเป็นต้องใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เพื่อให้การเรียนรู้ต่อเนื่องการเรียนการสอนแบบออนไลน์มีองค์ประกอบ ได้แก่ ผู้สอน ผู้เรียน เนื้อหา สื่อการเรียนการสอน แหล่งเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการเรียนการสอน ระบบการติดต่อสื่อสาร ระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ การวัดและการประเมินผล และเมื่อการเรียนออนไลน์มีบทสรุปเหมือนกับการเรียนปกติ ก็คือ ตัดสินกันที่การวัดและประเมินผลแบบเดิม ซึ่งกลายเป็นเรื่องหนักหน่วงของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเด็ก มีเด็กจำนวนมากที่ไม่ใช่ทุกข์ใจแค่การเรียนออนไลน์ การทำงานที่มากขึ้น แต่การสอบกลายเป็นเรื่องหนักสุด สืบเนื่องจากผลพวงเรื่องประสิทธิภาพในการเรียนออนไลน์ที่เด็กส่วนใหญ่อยากเรียนที่สถาบันการศึกษามากกว่า เด็กจำนวนมากถอดใจยอมถอยจากระบบ ออกจากโรงเรียนกลางคัน ในขณะที่ระดับมหาวิทยาลัยก็ดรอปไว้ก่อน นักเรียนในสิงคโปรต์ต้องกลับไปเรียนออนไลน์นาน 10 วัน ในช่วงปลายเดือน พ.ค.เพื่อที่จะรักษาระยะห่างระหว่างคนเด็กหลายล้านคนทั่วโลกต้องเรียนหนังสือจากบ้าน เพราะเกือบทุกประเทศกำลังเผชิญกับการระบาดใหญ่ของโควิด
"แม้ขณะนี้นักเรียนจำนวนหนึ่งกลับไปโรงเรียนแล้ว สิ่งที่น่ากังวลในขณะนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องช่วงเวลาที่สูญเสียไปของการศึกษา แต่ยังเป็นผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพจิตของเด็กด้วยเด็กๆ ทั่วโลกทุกข์ทรมานกับความรู้สึกเครียด ความวิตกกังวล และการโดดเดี่ยวในช่วงที่ต้องล็อกดาวน์และปิดโรงเรียนนานหลายเดือนในช่วงปีที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาด แทบไม่มีการพูดถึงเรื่องสุขภาพจิตในโรงเรียนที่มุ่งเน้นด้านวิชาการในสิงคโปร์ แต่เรื่องนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป" นายสุภัทรกล่าว
นายสุภัทร กล่าวต่ออีกว่า จากข้อมูลของ ศบค.ศธ.พบว่ามีโรงเรียนที่จัดการเรียนแบบออนไลน์เต็มรูปให้กับนักเรียนจำนวน 7,889 โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 22.5 ในสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นมีข้อจำกัดจากการใช้ แท็บเล็ตพีซี ในหลายมิติ เช่น ครอบครัวผู้ปกครองไม่สามารถจัดหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อให้นักเรียนได้เรียนออนไลน์อย่างเต็มรูปผ่าน แท็บเล็ตพีซี ได้ด้วยสภาพพื้นที่ของที่อยู่อาศัยและสภาพเศรษฐกิจ ผู้ปกครองต้องออกไปทำงานนอกบ้านนักเรียนต้องอยู่กับพีซี แท็บเล็ตโดยไม่มีผู้ดูแลกระตุ้นเตือนให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองทำให้ขาดประสิทธิภาพ ผู้เรียนต้องการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อนและ กับครู และการจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนามนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นจะต้องมีการพัฒนาในองค์ประกอบ 3 ด้านคือ ด้านสติปัญญา ด้านร่างกายอารมณ์สังคม และด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดังนั้นการใช้พีซีแท็บเล็ต เป็นไปเพื่อช่วยในการเรียนออนไลน์จะมีประโยชน์เกิดคุณค่าต่อการพัฒนาการศึกษาของคนได้เฉพาะบางส่วนจึงไม่เป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับการจัดการศึกษาโดยรวม
“กระทรวงศึกษาธิการ และสถานศึกษาได้คำนึงถึงการจัดการศึกษาด้วยรูปแบบที่ใช้ครอบครัวและผู้เรียนเป็นฐาน รูปแบบการจัดการศึกษาการจัดการเรียนการสอนจึงต้องมีความหลากหลายตามความต้องการจำเป็นทั้งนี้ต้องเลือกที่เหมาะสมกับบริบทของครอบครัวสภาพพื้นที่สภาพเศรษฐกิจกิจและสังคมรวมถึงศักยภาพของผู้เรียนเป็นหลัก การจัดหา แท็บเล็ตพีซี เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนจึงมีความเหมาะสมและจำเป็นกับนักเรียนเพียงบางกลุ่มบางสถานศึกษาเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่นักเรียนที่เรียนในระบบออนไลน์ก็สามารถใช้เครื่องมือที่มีอยู่แล้วในการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ที่สถานศึกษาดำเนินการไปแล้ว” นายสุภัทรกล่าว
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage