กระทรวงสาธารณสุข วาง 4 มาตรการใหม่ หวังลดผู้ป่วยภายใน 2-3 สัปดาห์ โดยจะปรับการค้นหาผู้ป่วย ฉีดวัคซีนผู้สูงอายุ - 7 โรคเสี่ยง พร้อมให้กักตัวที่บ้าน หลังบุคลากรการแพทย์ตึงตัว ขณะที่สถานการณ์เชื้อกลายพันธุ์ สายพันธุ์เดลต้ากระจายไป 47 จังหวัด ลามทั่วกทม.ถึง 52%
...........................................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2564 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดแถลงข่าวแนวการบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในสถานการณ์โควิด โดย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดในปัจจุบัน ส่วนใหญ่พบการระบาดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล ซึ่งสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง ส่วนในต่างจังหวัด เนื่องจากมีประชาชนในพื้นที่ กทม. ได้เดินทางไปต่างจังหวัดจึงเกิดการระบาดขึ้น อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ต่างจังหวัดสามารถดูแลการระบาดได้เป็นอย่างดี
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวอีกว่า ด้วยสถานการณ์การะบาดที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 6 พันราย หลายวันต่อเนื่อง สธ.ได้เตรียมเร่งขยายเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิดเพิ่มเติม โดยโรงพยาบาลบุษราคัม สามารถรองรับได้ถึง 3,700 เตียง นอกจากนั้นในสัปดาห์นี้ สธ.ยังร่วมมือกับโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเปิดเตียงไอซียูอีก 24 เตียง ร่วมกับภาคเอกชนเปิดไอซียูสนามที่ มทบ.11 อีก 58 เตียง และให้ความช่วยเหลือส่งบุคลากรเข้าไปช่วยยังโรงพยาบาลวชิรพยาบาล โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี สามารถเปิดไอซียูเพิ่มได้อีก 58 เตียง รวมสัปดาห์นี้จะมีเตียงรองรับผู้ป่วยสีแดงเพิ่มกว่า 100 เตียง และมีเตียงรองรับผู้ป่วยสีเหลืองจากโรงพยาบาลบุษราคัมอีก 1,500 เตียง
นอกจากนั้น สธ. 4 ได้วางมาตรการใหม่ 4 มาตรการ ได้แก่ 1. ค้นหาผู้ติดเชื้อใหม่ 2. ปรับระบบการรักษาเชื่อมต่อผู้ป่วยต่างๆ 3. มาตรการวัคซีน และ 4. ปรับมาตรการสังคม เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยให้เห็นผลภายใน 2-3 สัปดาห์นี้
"สำหรับการปรับมาตรการวัคซีน จะมีการจัดบูสเตอร์โดสให้บุคลากรการแพทย์ด่านหน้า เอาไว้รองรับสายพันธุ์กลายพันธุ์ต่างๆเพื่อให้บุคลากรด่านหน้า ยังคงอยู่ เพื่อช่วยเหลือประชาชนต่อไป และในเดือนนี้จะจัดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ กับ 7 กลุ่มโรคเสี่ยง ไม่น้อยกว่า 80% เพื่อลดอัตราการป่วยหนักหรือเสียชีวิต ส่วนการปูพรมฉีดวัคซีน จะเปลี่ยนให้มีการมุ่งเน้นฉีดวัคซีนในพี้นที่ระบาดหนักแทน เพื่อควบคุมโรค เพื่อเร่งลดจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด หวังว่าเดือนต่อไป เราจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนคนทั่วไปให้มากที่สุด" นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
@ จัดให้มี Fast Track ตรวจหาเชื้อให้กลุ่มเสี่ยงสูง-เน้นการทำงานที่บ้าน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมถึงมาตรการค้นหาผู้ติดเชื้อใหม่ ว่า จะมีการจัดให้มีทางด่วน (Fast Track) ให้กับผู้สูงอายุ ผู้เปราะบางเสี่ยงเจ็บป่วยรุนแรง และผู้ที่มีอาการสงสัย เพื่อให้เข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว ส่วนกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่มีอาการ หรือวัยหนุ่นสามที่มีอัตราการป่วยน้อยกว่า จะใช้วิธีอื่นๆ ในการตรวจคัดกรอง อาทิ รถพระราชทาน คลินิกชุมชน เป็นต้น
นอกจากนั้นจะปรับการสอบสวนและควบคุมโรค ให้เน้นการสอบสวนที่ครอบคลุมเหตุการณ์สำคัญ หรือคลัสเตอร์ใหญ่ๆ ส่วนการสอบสวนเฉพาะรายจะให้จุดตรวจดำเนินการแทน และควบคุมเชิงรุกเฉพาะจุดเสี่ยงการระบาดรุนแรงกว้าง (Super-spreading setting) โดยการประเมินความเสี่ยงและการพิจารณาทำ Bubble and Seal โดยเน้นแหล่งแรงงานต่างด้าว แคมป์ก่อสร้าง โรงงาน ตลาดสด ชุมชนแออัด เรือนจำ แหล่งรวมตัว และ Nursing Care ผู้สูงอายุ
สำหรับมาตรการสังคม นพ.โอภาส กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จะมีการบังคับใช้หรือขอความร่วมมือการใช้มาตรการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ในสถานที่ หน่วยงานราชการ และสถานเอกชนขนาดใหญ่ ให้ได้อย่างน้อย 70% และส่งเสริมให้ประชาชนเพิ่มความเข้มข้นมาตรการส่วนบุคคลและประยุกต์หลักการ Bubble and Seal สำหรับการเดินทางไปทำงานและลดการเดินทางออกนอกบ้าน
@ แจกอุปกรณ์-มีเทเลเน็ต-บริการซื้ออาหาร ให้ผู้ป่วยกักตัวที่บ้าน-ที่ชุมชน
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงการบริหารจัดการเตียงรองรับผู้ติดเชื้อในสถานการณ์ปัจจุบันของกทม.และปริมณฑลว่า ตัวเลขภายใน 1 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ป่วยครองเตียงในวันที่ 4 มิ.ย.2564 จาก 19,430 เตียง เพิ่มขึ้นเกือบหมื่นรายในวันที่ 4 ก.ค.2564 เป็น 28,247 ราย ซึ่งเป็นผู้ป่วยสีแดงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว อย่างไรก็ตามแม้จะได้รับความช่วยเหลือจากหลายภาคส่วนในการขยายเตียงรองรับผู้ป่วยในกทม.และปริมณฑล แต่ต้องยอมรับว่าเพิ่มสถานที่เพิ่มได้ แต่เพิ่มบุคลากรการแพทย์เพิ่มยาก ทำให้ สธ.เริ่มคิดถึงมาตรการกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และกักตัวที่ชุมชน (Community Isolation)
"ยืนยันว่าเราไม่ได้อยากทำมาตรการกักตัวที่บ้านและที่ชุมชน เพราะสุขภาพของผู้ป่วยเองด้วย ถ้าแย่ลงจะไม่มีใครดูแล แต่ส่วนหนึ่งสถานการณ์บังคับ บุคลากรของเราตึงตัว โดยเราจะแจกปรอทวัดไข้ให้กับผู้ป่วย และแพทย์จะมีเทเลเน็ต คุยกับผู้ป่วยเพื่อสอบถามอาการทุกวัน และมีการจ่ายยาไปให้ด้วยหากผู้ป่วยมีอาการแย่ลง ส่วนกรณีกลัวคนไข้เดินมาซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อนั้น ทาง สปสช.จะจ่ายเงินให้โรงพยาบาลไปซื้ออาหารให้คนไข้ ทั้ง 3 มื้อ ขอให้ประชาชนคลายความกังวล" นพ.สมศักดิ์ กล่าว
@ สายพันธุ์เดลต้ากระจาย 47 จังหวัด - ลามทั่วกทม.กว่าครึ่ง
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กว่างถึงสถานการณ์สายพันธุ์กลายพันธุ์ว่า ตั้งแต่ วันที่ 1 เม.ย.2564 ได้มีการตรวจตัวอย่างสายพันธุ์ไปแล้วกว่า 11,000 ราย พบว่า ขณะนั้นส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์อัลฟ่า (สายพันธุ์อังกฤษ) แต่หากดูภาพรวมสะสมขณะนี้ กทม. พบสายพันธุ์เดลต้า (สายพันธุ์อินเดีย) มากกว่าสายพันธุ์อัลฟ่าถึง 52% แล้ว โดยกระจายอยู่ในทุกเขต โดยเฉพาะทางตอนเหนือจากแคมป์หลักสี่ ไปทางทิศตะวันตกตอนล่าง ดังนั้นค่อนข้างจะบอกได้ว่าสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดในกทม. ขณะนี้คือ สายพันธุ์เดลต้า
โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การตรวจสายพันธุ์โดยรวมในประเทศ พบว่า สายพันธุ์เดลต้าในพื้นที่กทม.เพิ่มขึ้น 32% ส่วนต่างจังหวัดก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ถึง 18% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของสายพันธุ์เดลต้า ถือว่าเพิ่มขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว
"สถานการณ์เชื้อกลายพันธุ์เดลต้า ขณะนี้กระจายไปยัง 47 จังหวัด อย่างภาคใต้ที่เราไม่เคยพบ ก็พบในหลายจังหวัด เช่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดอุดรธานี ยังค่อนข้างเยอะอยู่" นพ.ศุภกิจ กล่าว
ส่วนสายพันธุ์เบต้า (สายพันธุ์แอฟริกาใต้) จะเห็นว่าในสัปดาห์นี้เพิ่มมา 50 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดนราธิวาส โดยพบการกระจายไปยังจังหวัดใกล้เคียง ใน กทม.เพิ่ม 2 ราย ซึ่งเป็นญาติรายแรกที่พบครั้งที่แล้ว แสดงว่าเชื้อยังไม่มีการกระจายไปยังพื้นที่อื่น ภาพรวมใน กทม.มีสายพันธุ์เบต้า 3 ราย
ส่วนประสิทธิภาพของวัคซีนต่อสายพันธุ์ใหม่ขณะนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อยู่ระหว่าง วางแผนทดลอง เพื่อศึกษาข้อมูลประสิทธิภาพวัคซีนต่อสายพันธุ์โควิด โดยการนำเลือดของผู้ป่วยโควิด มาทดลองในห้องทดลอง โดยใช้วัคซีนแต่ละรูปแบบ เพื่อทำการตรวจเชื้อ ทั้งสายพันธุ์อัลฟ่า เบต้า และเดลต้า โดยจะดูว่าประสิทธิภาพวัคซีนจัดการเชื้อนี้ได้หรือไหม รวมถึงการศึกษาข้อมูลวัคซีน แอสตร้าเซนเนก้า เข็มเดียวด้วย เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนต่อเชื้อที่ระบาดกับประสิทธิภาพของวัคซีนเพื่อเสนอฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่อไป
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/