"...ทรัพยากรเพื่อการพัฒนาของเรามีมาก ทั้งในชุมชนท้องถิ่น ภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคธุรกิจ ถ้าเรามีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะพัฒนาอย่างบูรณาการโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง แล้วบูรณาการพลังจากทุกภาคส่วนไปสนับสนุน 800 อำเภอ 8,000 ตำบล ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลย ที่จะเกิดการพัฒนาอย่างบูรณาการเต็มแผ่นดิน ประเทศไทยทั้งประเทศจะเจริญด้วย “เศรษฐกิจ - จิตใจ - สังคม - สิ่งแวดล้อม - วัฒนธรรม - สุขภาพ – การศึกษา - ประชาธิปไตย” เกิดศานติสุข ประดุจสวรรค์บนดิน..."
.......................................
ทิศทางอนาคตประเทศไทยหลังโควิด เป็นเรื่องที่สังคมไทยทุกภาคส่วนควรจะรวมตัวร่วมคิดร่วมทำ ต้องตีประเด็นให้แตกว่าหลักการใหญ่คืออะไร มิฉะนั้นจะคิดเรื่องปลีกย่อยและแยกส่วนแบบเดิม ที่ทำให้ติดอยู่ในหลุมดำแห่งวิกฤตการณ์ต่อไป
ที่โลกอันนำโดยอารยธรรมตะวันตก แม้จะคิดเก่งทำเก่งเพียงใด แต่เป็นการคิดแบบแยกส่วน และทำแบบแยกส่วน การคิดแบบแยกส่วน ทำแบบแยกส่วนจะนำไปสู่การเสียสมดุลและสภาวะวิกฤตเสมอ เพราะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงตามธรรมชาติ และกฎของธรรมชาติ ที่สรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงเป็นองค์รวม (Wholeness) .ในระดับต่างๆ จนกระทั่งโลกทั้งโลกก็เชื่อมโยงเป็นองค์รวมเดียวกันน ดังที่เมื่อโควิดระบาดก็กระทบไปทุกองคาพยพของโลก
โลกหลังโควิดที่จะไม่ให้วิกฤตแบบเดิม มนุษย์ต้องมีปัญญา หรือ วิชชา (ช.ช้าง 2 ตัว) ที่เห็นธรรมชาติตามความเป็นจริง คือปัญญาที่เข้าถึงความเป็นองค์รวม ในกรณีของประทศไทยคือการเห็น
ประเทศไทยที่บูรณาการเป็นองค์รวมหนึ่งเดียว
ทำนองเดียวกับชีวิตร่างกาย ที่เซลล์นับเป็นล้านๆ เซลล์ และอวัยวะน้อยใหญ่ มี สมอง หัวใจ ตับ ปอด ต่อมเอ็นโดครีน และอื่นๆ ทั้งหลายทั้งปวง ทั้งหมดบูรณาการกันเป็นองค์รวม คือ ร่างกายหรือชีวิตของเรา
เซลล์มะเร็งเป็นตัวอย่างของเซลล์ที่สูญสำนึกแห่งองค์รวม มันทำตัวแยกส่วนเป็นเอกเทศ ไม่คำนึงถึงความเป็นองค์รวมของร่างกายทั้งหมด ทำให้องค์รวมเสียสมดุล ป่วย และตาย ฉันใด การที่ประเทศไทยจะพ้นวิกฤต คนไทยทั้งหมดหรือมากที่สุดที่จะเป็นไปได้ ต้องมีสำนึกแห่งประเทศไทยที่บูรณาการเป็นองค์รวมหนึ่งเดียว
ยุคสมัยนี้เป็น ยุคแห่งการแตกแยกครั้งใหญ่ (The Great Devide) ทั้งทั่วโลกและในประเทศไทย ทั้งนี้เพราะคิดแบบแยกส่วน ทำให้แบ่งเป็นข้างเป็นขั้ว ธรรมชาติไม่ได้แบ่งเป็นข้างเป็นขั้ว แต่ดำเนินไปบนทางสายกลางแห่งความเป็นเหตุเป็นผลล้วนๆ ที่เรียกว่ากระแสแห่งอิทัปปัจจยตา
การรู้เห็นเป็นส่วนๆ แล้วทะเลาะกันใหญ่ ก็เหมือนตาบอดคลำช้าง เพราะทุกคนล้วนตาบอด ไม่เห็นช้างทั้งตัว รู้เห็นเป็นส่วนๆ เท่าที่ตัวสัมผัสได้ ซึ่งแต่ละส่วน เช่น งวง หู หาง ขา ลำตัว ล้วนไม่เหมือนกัน ที่ทะเลาะกันเพราะอยากให้คนอื่นรู้เห็นเหมือนตัว แต่ถ้าตาไม่บอดก็จะเห็นว่าทุกส่วนที่ต่างล้วนเป็นของช้างตัวเดียวกัน ถ้าเห็นช้างทั้งตัวก็ไม่มีอะไรจะทะเลาะกัน
คนไทยต้องเลิกตาบอด และเห็นประเทศไทยทั้งตัวเป็นองค์รวมเดียวกัน ก็ไม่มีอะไรจะทะเลาะกัน เพราะเป็นคนที่สมบูรณ์ต้องมีทั้งแขนซ้ายและแขนขวา เครื่องบินที่จะบินได้ก็ต้องมีทั้งปีกซ้ายและปีกขวา การเป็นซ้ายเป็นขวา ถ้ามองว่าล้วนเป็นส่วนของประเทศไทย หนึ่งเดียวกัน ก็ไม่มีอะไรจะทะเลาะกัน
ฉะนั้น แทนที่จะคิดแบบแยกส่วน ควรจะเปลี่ยนเป็นคิดและทำแบบบูรณาการ
ฉะนั้น การสื่อสารทุกประเภท ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โซเชียลมีเดีย และการสื่อผ่านศิลปะ และเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ ควรเป็นสื่อทางปัญญา สื่อให้คนไทยเกิดปัญญา เข้าถึงประเทศไทยที่บูรณาการเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวกัน และต้องพัฒนาแบบบูรณาการ แทนที่การพัฒนาแบบแยกส่วน
การพัฒนาอย่างบูรณาการโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง
ที่ผ่านมาเราพัฒนาแบบแยกส่วนโดยเอากรมเป็นตัวตั้ง
กรมนั้นตั้งขึ้นโดยเอาเรื่องเป็นตัวตั้ง เช่น กรมดิน กรมน้ำ กรมต้นไม้ กรมข้าว ฯลฯ การพัฒนาโดยเอากรมเป็นตัวตั้งจึงเป็นการพัฒนาแบบแยกส่วนตามชื่อของกรม เราพัฒนาเศรษฐกิจแบบแยกส่วนจากสังคม สิ่งแวดล้อม และอื่นๆ การศึกษาก็แยกส่วนจากความจริงของชีวิตไปเอาวิชาเป็นตัวตั้ง สุขภาพก็แยกเป็นเรื่องมดหมอหยูกยาและโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ความจริงสุขภาพบูรณาการอยู่ในการพัฒนาทั้งหมด ดังที่พูดว่าสุขภาพคือทั้งหมด (Health is the Whole) ดังนี้เป็นต้น
การพัฒนาอย่างบูรณาการ ต้องบูรณาการอย่างน้อย 8 เรื่อง อย่างเชื่อมโยงอยู่ในกันและกัน คือ
“เศรษฐกิจ - จิตใจ - สังคม - สิ่งแวดล้อม - วัฒนธรรม - สุขภาพ – การศึกษา - ประชาธิปไตย”
ในทุกพื้นที่ อันได้แก่ ชุมชน หรือหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด พื้นที่ใดที่มีการพัฒนาอย่างบูรณาการทั้ง 8 เรื่องดังกล่าว จะเป็นพื้นที่แห่งศานติสุข ประดุจสวรรค์บนดิน
ทรัพยากรเพื่อการพัฒนาของเรามีมาก ทั้งในชุมชนท้องถิ่น ภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคธุรกิจ ถ้าเรามีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะพัฒนาอย่างบูรณาการโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง แล้วบูรณาการพลังจากทุกภาคส่วนไปสนับสนุน 800 อำเภอ 8,000 ตำบล ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลย ที่จะเกิดการพัฒนาอย่างบูรณาการเต็มแผ่นดิน ประเทศไทยทั้งประเทศจะเจริญด้วย “เศรษฐกิจ - จิตใจ - สังคม - สิ่งแวดล้อม - วัฒนธรรม - สุขภาพ – การศึกษา - ประชาธิปไตย” เกิดศานติสุข ประดุจสวรรค์บนดิน
คนไทยสามารถฝันถึงประเทศไทยยุคใหม่ ที่อาจเรียกว่าประเทศไทยยุคศรีอาริยะ คือประเทศไทยที่มีการพัฒนาอย่างบูรณาการเป็นสังคมศานติสุขประดุจสวรรค์บนดิน และทำให้เป็นจริงได้ โดย
1. สร้างปัญญาให้คนไทยเห็นประเทศไทยที่เป็นองค์รวมหนึ่งเดียวกัน หลุดออกจากอวิชชาหรือความหลงผิด ที่คิดและทำแบบแยกส่วน
2. พัฒนาอย่างบูรณาการโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง โดยรวมพลังจากทุกภาคส่วนของสังคมไปสนับสนุน 800 อำเภอ 8,000 ตำบล ให้สามารถจัดการพัฒนา “เศรษฐกิจ - จิตใจ - สังคม - สิ่งแวดล้อม - วัฒนธรรม - สุขภาพ – การศึกษา - ประชาธิปไตย” อย่างเชื่อมโยงอยู่ในกันและกัน จนเกิดเป็นแผ่นดินศานติสุขดุจสวรรค์บนดิน
เมื่อคิดถูกและทำถูก ก็ไม่ยากเลยที่เราจะร่วมสร้างประเทศไทยที่น่าอยู่ที่สุด โดยเป็นประเทศที่ทุกคนมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ มีส่วนร่วมคิดร่วมทำในการพัฒนาประเทศ และร่วมรับผลประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเป็นธรรม ประเทศมีสมรรถนะสูง มีศักดิ์ศรี มีความสง่างาม ที่คนไทยทุกคนภาคภูมิใจในประเทศของตนร่วมกัน
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก http://kruthai40.ning.com/profiles/blogs/6?overrideMobileRedirect=1