"...ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่มีวัคซีนสำหรับโควิด-19 การเดินทางระหว่างประเทศจะเป็นเรื่องวุ่นวายมาก การจำกัดการระบาดของเชื้อไวรัส แต่ละประเทศจะต้องทำกันเป็นระบบปิด ดังนั้น การเข้าประเทศ เชื่อว่าผู้เดินทางจะต้องถูกกักกันอย่างน้อย 14 วัน และต้องยอมรับสภาพการถูกติดตามในทุกตำแหน่งที่ไป ดังนั้น การเดินทางในช่วงก่อนมีวัคซีน นอกจากค่าใช้จ่ายจะมากขึ้น ยังเกิดความไม่สะดวกเพิ่มขึ้น ถ้าไม่ใช่เพื่อธุรกิจการงานในหน้าที่แล้ว การเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ คงน้อยจนแทบไม่มี..."
ในช่วงนี้ จะมีคำถามยอดฮิต 4 ข้ออยู่ในใจของคนส่วนใหญ่ ซึ่งผมคงไม่มีปัญญาตอบเอง นอกจากจะไปค้นคว้าจากข่าวสารและเอกสารทางวิชาการในต่างประเทศ จึงได้คำตอบพอสรุปสั้น ๆ ตามที่ผมเข้าใจดังนี้
(1) เราจะต้องใส่แมสก์และอยู่ห่างจากคนอื่นอีกนานเท่าไร?
ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีความเสี่ยงน้อยมาก (ตราบใดที่เรายังเข้มงวดกักกันผู้เข้าประเทศทุกราย) เพราะจากกราฟ A7 ที่เป็น 1.0 มาครบ 28 วันพอดี แสดงว่า ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งบอกว่า มีการติดเชื้อจาก"ผู้ติดเชื้อเงียบ" ภายในประเทศ (ผู้ติดเชื้อเงียบถ้าไม่ป่วยมีอาการหนักจนกลายเป็น"ผู้ติดเชื้อไม่เงียบ" ป่านนี้ก็คงหายปลอดเชื้อหมดแล้ว)
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายคน สรุปตรงกันว่า ผู้เคยติดเชื้อโควิด-19 เมื่อหายแล้วจะมีภูมิคุ้มกันอยู่ระยะหนึ่ง โดยไม่มีไวรัสซ่อนแฝงตัวอยู่และกลับมาติดผู้อื่นได้ [1] แต่ยังเร็วเกินไปที่จะทราบว่า ภูมิคุ้มกันคนที่ติดเชื้อจะปกป้องเขาได้นานแค่ไหน เพราะเชื้อไวรัสตัวนี้สามารถกลายพันธ์ุได้ตลอดเวลา
ดังนั้น แม้ความเสี่ยงจะต่ำมากในเมืองไทย ทุกคนควรใช้แมสก์ไปอีกสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย เพราะในอนาคตเมื่อทุกประเทศเปิดน่านฟ้าโดยยังไม่มีวัคซีนที่เชื่อถือได้ 100% การใส่แมสก์ออกนอกบ้าน อาจกลายเป็น"นิวนอร์มัล" ของมนุษย์ไปก็ได้ ส่วนการเว้นระยะห่างก็ควรทำเท่าที่ทำได้ แม้จะไม่สำคัญเท่ากับการใส่แมสก์ก็ตาม [2]
ในช่วงนี้ ผู้สูงอายุ (เช่น ปู่ย่าตายาย) ที่สุขภาพไม่ดี ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้เก็บตัว โดยเฉพาะเมื่อโรงเรียนเปิดแล้ว ไม่ควรคลุกคลีกับเด็กอย่างใกล้ชิดเหมือนสมัยก่อนโควิด-19
(2) ไวรัส SAR-CoV-2 (ที่ทำให้เกิดโรค COVID-19) ตัวนี้จะหายไปจากโลกหรือไม่?
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ไวรัสตัวนี้จะไม่หายไปไหนและจะเป็นสมาชิกของตระกูล coronavirus ที่ทำให้เกิดโรคประเภทเดียวกับไข้หวัด แต่รุนแรงกว่า หากเรายังไม่มีวัคซีน ไวรัสตัวนี้อาจกลับมาใหม่เป็นรายปี เมื่อกลับมาก็สร้างปัญหาได้กับทุกคน เนื่องจากความสามารถกลายพันธ์ไปได้เรื่อยๆ การจะมีภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) จึงไม่ใช่ว่าจะเกิดได้ง่ายๆ
(3) การมีวัคซีน จะเปลี่ยนแปลงโลกสู่ปกติหรือไม่อย่างไร?
วัคซีนที่จะมีประสิทธิผล จะต้องสามารถปกป้องเราได้เป็นเวลานาน แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า สุดท้าย เราอาจได้วัคซีนที่ปกป้องเราได้ระยะหนึ่งเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นรายปี เนื่องจากไวรัสสายพันธุ์นี้กลายพันธ์ุได้เร็ว ดังนั้น เชื่อว่า เราคงต้องฉีดวัคซีนทุก ๆ ปีเหมือนเชื้อไข้หวัดใหญ่ แต่อย่างน้อย ก็คงทำให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตปกติแบบ Old Normal ได้บ้าง
(4) เราจะเดินทางระหว่างประเทศแบบปกติได้เมื่อไร?
ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่มีวัคซีนสำหรับโควิด-19 การเดินทางระหว่างประเทศจะเป็นเรื่องวุ่นวายมาก การจำกัดการระบาดของเชื้อไวรัส แต่ละประเทศจะต้องทำกันเป็นระบบปิด ดังนั้น การเข้าประเทศ เชื่อว่าผู้เดินทางจะต้องถูกกักกันอย่างน้อย 14 วัน และต้องยอมรับสภาพการถูกติดตามในทุกตำแหน่งที่ไป ดังนั้น การเดินทางในช่วงก่อนมีวัคซีน นอกจากค่าใช้จ่ายจะมากขึ้น ยังเกิดความไม่สะดวกเพิ่มขึ้น ถ้าไม่ใช่เพื่อธุรกิจการงานในหน้าที่แล้ว การเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ คงน้อยจนแทบไม่มี
ศ.ดร.วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย ราชบัณฑิต
ผู้อำนวยการ สถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
[1] People Who Test Positive for COVID-19 After Recovering Aren't Infectious.
https://www.healthline.com/health-news/people-reinfected-with-covid-19-werent-infectious
[2] Masks More Effective Than Social Distancing..
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย