"...เพราะหัวใจหลักของคนที่ขึ้นชื่อว่าครู คือ ผู้ให้ ทุกอย่าง ทั้งวิชาความรู้ ทั้งความปลอดภัยคุ้มครอง ครูเป็นผู้ที่ทำให้ลูกๆทุกคนเจริญก้าวหน้า ทั้ง กายใจ และสถานะ มีสัมมาชีพ เติบโตเป็นคนดีมีคุณธรรม ครู (ครุ) จึงต้องหนักแน่น ดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม..."
เป็นเรื่องน่าเศร้าสะเทือนจิตใจยิ่ง ที่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ #กรณีข่าวที่ครู 5 คนรุมโทรม เด็กนักเรียนลูกศิษย์
ระบบการศึกษามีการทำทะเบียนประวัติรู้จักเด็กเป็นรายบุคคล คงน่าจะถึงเวลาแล้วที่ระบบนี้ต้องพัฒนา รู้จักครูเป็นรายบุคคล เช่นกัน พร้อมๆไปกับการมี passport ความดีของครู
แม้ว่าสิ่งที่รับรู้ตอนนี้จากข่าวคือ กฎหมายบ้านเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องกำลังช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อปกป้องคุ้มครองเด็กๆ รวมทั้งคนที่ผิดกำลังจะถูกดำเนินคดีตามตัวบทกฎหมาย ที่กำลังดำเนินการอย่างเข้มงวดจริงจัง แต่ภาพที่หมออยากเห็น จริงจังมากกว่านี้
#ความจริงจังในการสร้างระบบเฝ้าระวัง ของทุกโรงเรียน ของคณะครูทั่วประเทศ ในการสร้างกลไกปกป้อง คุ้มครองเด็กทุกคน #มากกว่าคำแก้ตัว และลงมือสร้างระบบกลไก ดึงการมีส่วนร่วม ของพ่อแม่ผู้ปกครอง ชาวชุมชนละแวกโรงเรียน เด็กๆในรั้งโรงเรียน มีระบบพี่เลี้ยง เพื่อนช่วยเพื่อน พี่ช่วยดูแลน้อง สร้างทักษะชีวิต ทักษะการรู้เท่าทันไม่โดนล่อลวง ไม่ให้มีการ bully หรือ การล่วงละเมิดใดๆ เกิดขึ้นอีก เพื่อเป็นการสร้างหลักประกัน ให้กับลูกๆทุกคนว่า บ้านหลังนี้ (คือโรงเรียน) มีความรักความเข้าใจและปลอดภัยให้ลูกๆทุกคนได้รับการพัฒนาตามความสามารถของเขาที่หลากหลาย
#ไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่จะไม่สร้างหลักประกันความคุ้มครองนี้ให้กับเด็กๆ ต่อให้เขาเหล่านั้นเป็นเด็กอยู่บนดอย ต่อให้เขาเหล่านั้นเกิดมายากจน ต่อให้เขาเหล่านั้นเป็นเด็กไร้รัฐ ต่อให้เขาจะเป็นลูกๆของลูกจ้างแรงงงานข้ามถิ่น ต่างชาติหรือ ลูกในเมือง ลูกชนบท ลูก เรียนเก่ง ลูกเรียนไม่เอาไหน ก็ตาม
#โรงเรียนคือบ้านหลังที่สอง
#ครูคือพ่อแม่คนที่สองของลูกๆ
ขอส่งเสียงนี้ไปสู่ท่านรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ โดยหมอเดว
1. ครูควรได้รับ การพัฒนาทักษะการช่วยเหลือเด็กๆ ปกป้องเด็ก พัฒนาเด็ก แผนการพัฒนาตนเองของครูเป็นรูปธรรมได่รับการติดตามประเมินผล นอกจากนั้นควรมีการนำ Passportความดี และPassport จิตพิสัยเพื่อรู้จักครูเป็นรายบุคคลเฉกเช่นเดียวกับที่ระบบการศึกษามักจะใช้กับเด็กๆทุกคน
#Passportครู แยกเป็น
1.Passport ความดีที่ครูทำ โดยมีคณะกรรมการสถานศึกษาที่มีตัวแทนของผู้ปกครอง ชาวบ้าน พระหรือ นักบวช ตามองค์ประกอบสถานศึกษารับรอง
2. Passport รู้จักครูเป็นรายบุคคล เพื่อ #จำแนกและบริหารจัดการความเสี่ยง เป็นการภายใน เพื่อ
ครูที่เก่งเป็นคนดี หนุนส่งเสริม
ครูกลุ่มที่อ่อนแอ พัฒนาศักยภาพ และติดตาม
ครูกลุ่มเสี่ยง เข้าระบบเฝ้าระวังและติดตามประเมินผล
ส่วนครูกลุ่มที่มีปัญหาต้องออกจากระบบ
นอกจากนั้น เมื่อโรงเรียนเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง
2. #ผู้อำนวยการโรงเรียนหรือครูใหญ่ ก็คือหัวหน้าบ้านที่ต้องมีหน้าที่สร้างความอบอุ่นปลอดภัย แก่เด็กๆลูกๆทุกๆคน ย้ำว่า เด็กๆทุกๆคน ต้องตรวจตรา แม้แต่ครูของตนเอง ซักซ้อมกระบวนการกับครู สร้างระบบเฝ้าระวัง ที่เป็นระบบชั้นต่างๆ ตั้งแต่ระดับ เพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อนกับครูที่เด็กอบอุ่นและไว้วางใจ ครูกับครู ครูกับผู้บริหาร ครูกับผู้ปกครอง และต่อเนื่องไปที่ชาวบ้านล้อมรั้วโรงเรียน ผู้อำนวยการต้องลงมา คุยกับเด็กๆ คุยกับผู้ปกครอง คุยกับคนรอบรั้ว เพื่อนำมาพัฒนา ขอตั้งคำถามว่า หากไม่ได้ทำ หรือทำไม่ได้ จะมานั่งเป็นผู้อำนวยการเพื่อสิ่งใด
3. #คณะกรรมการสถานศึกษา ก็ต้อง จี้ติดตามผู้อำนวยการ และคณะผู้บริหารให้ทำระบบความเสี่ยงต่างๆเหล่านี้อย่างรัดกุม และคอยตรวจตราลงพื้นที่ทานซ้ำ เพื่อประกันคุณภาพของ บ้านหลังนี้ให้ปลอดภัยและอบอุ่น ไม่มานั่งประชุมเพียงเป็นตรายางเพื่อสร้างภาพ สร้างเอกสาร รอทางส่วนกลางไปตรวจ แบบลมๆแล้งๆไปวันๆ เพราะ เราเป็นผู้สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา เพื่อให้ลูกๆ ทุกคนมาเรียน อย่างปลอดภัยและอบอุ่น
4. #ต้นสังกัด ควรเปลี่ยนบทบาทต้นสังกัดได้แล้ว ให้ต้นสังกัดลงมาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง ไม่เป็นผู้กำกับห่างๆ อย่าง ห่วงๆ การดูแลบุตรหลานไม่ใช้ การดูแลเชื้อโรค COVID ต้องดำเนินการลงเป็นพี่เลี้ยง พัฒนาจิตวิญญาณหัวใจความเป็นครู และ ระบบของโรงเรียนอย่างเป็นเสมือนพี่เลี้ยง ต้องลงคลุกวงใน เพื่อให้ระบบเกิดการพัฒนา จี้ติดตาม ลำพังการประกันคุณภาพ ผ่านเอกสาร SAR ไม่น่าจะเกิดประโยชน์มากนัก
เลิกเอาแต่สั่งการ อย่าลงไปด้วยรูปแบบบังคับบัญชาเลยเถอะ เพราะไม่สามารถพัฒนากันได้
ไม่สนใจแม้แต่การรู้จักครูเป็นรายบุคคลเพื่อการพัฒนา และเพื่อแผนเฝ้าระวังตรวจสอบประวัติครู
หน้าที่ต้นสังกัดต้อง#สร้างระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้เชื่อมโยงกับสหวิชาชีพ และ ระบบสุขภาพ ท้องถิ่น
5. #คณะกรรมการคุ้มครองเด็กสามารถเล่นบทบาทเชิงรุก ตามพรบ.คุ้มครองเด็กแห่งชาติ ประจำจังหวัด (ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน) คงต้อง Activeกว่านี้ เพื่อ พัฒนาระบบ PPP Model
P= protection คุ้มครองเด็ก
P= Prevention ป้องกันความเสี่ยงต่างๆ
P=Promotion ส่งเสริม สนับสนุน เด็กๆ ให้ได้รับการพัฒนา
หากเกิดเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล ต้องพร้อมเข้าแก้ไข เพื่อป้องกันภยันตราย และ เพื่อให้กิจกรรมการเรียนการสอนมุ่งพัฒนาลูกหลานให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ มีต้นแบบดีๆ ให้เด็กเจริญรอยตาม
คนเป็นครู ต้องช่วยเด็กในทิศทางที่ดี ทุกคน
หากครูทำเองไม่เป็นก็อย่าใช้อารมณ์ แต่ให้ยกมือขอความช่วยเหลือ จากผู้อำนวยการ คณะกก.สถานศึกษา หรือ ต้นสังกัด (ทำตู้รับเรื่องราวร้องเรียน)
หากไม่มั่นใจว่าลูกๆ เราป่วยหรือมีปัญหาทางการเรียน ก็ช่วยกันปรึกษาหารือเพื่อแก้ไข ให้เขาลุกขึ้นมาเดินได้ สู้ได้
เพราะ #หัวใจหลักของคนที่ขึ้นชื่อว่าครู คือ ผู้ให้ ทุกอย่าง ทั้งวิชาความรู้ ทั้งความปลอดภัยคุ้มครอง
ครูเป็นผู้ที่ทำให้ลูกๆทุกคนเจริญก้าวหน้า ทั้ง กายใจ และสถานะ มีสัมมาชีพ เติบโตเป็นคนดีมีคุณธรรม
ครู (ครุ) จึงต้องหนักแน่น #ดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม
#หมออยากได้ยินแบบนี้จากครู ไม่อยากได้ยินข่าวที่น่าสะเทือนใจอีกต่อไป
เพจ #บันทึกหมอเดว ลงวันที่ 12 พ.ค. 2563
รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม องค์การมหาชน
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก สสส. , ไทยรัฐ , ผู้จัดการออนไลน์