
"...ฝ่ายไทยยอมยกเมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ และเมืองศรีโสภณ อันเป็นหัวเมืองเขมรให้แก่ฝรั่งเศส ฝ่ายฝรั่งเศสยอมให้คนชาวตะวันออกในบังคับฝรั่งเศสอยู่ในอำนาจศาลไทย และยอมคืนเมืองตราดให้แก่ไทยกับทั้งยอมถอนทหารที่ได้มาตั้งอยู่ในเมืองจันทบุรีถึง 12 ปีนั้น กลับไปไม่ล่วงล้ำเกี่ยวข้อง แดนไทยดังแต่ก่อน หนังสือสัญญานี้ได้รับอนุมัติในปาลิเมนต์ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ร.ศ. 126”..."
เพื่อนรัฐศาสตร์จุฬาฯ รุ่นเดียวกันจำนวนหนึ่ง มีน้ำใจออกแรงช่วยกันบริหารจัดการพาเพื่อนๆ ไปเยือนเมืองและชนบทที่ต่างจังหวัด ไม่รู้กี่ทริพแล้ว จำไม่ได้ จำได้แต่ว่าทุกทริพมีการทำบุญ ทัศนศึกษา เฮฮา สนุกสนาน ได้ความรู้สึกติดตาตรึงใจในแง่งามเสมอ ไม่ว่าในมุมของธรรมชาติ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ป่าเขา แมกไม้ สายน้ำ
นอกจากจะกระชับความเป็นเพื่อนแล้วยังได้เรียนรู้หลากหลาย ความดี ความงาม ความจริง อันควรค่าแก่การบันทึก
ความจริง จ.ตราด เคยอยู่ใต้บังคับของฝรั่งเศสมาแล้วถึง 3 ปี
ในยุคล่าอาณานิคม เมื่อร้อยปีเศษที่ผ่านมา ฝรั่งเศสนำเรือปืนมาข่มขู่ไทยถึงปากน้ำเจ้าพระยา นำไปสู่ “วิกฤต ร.ศ. 112” เมื่อ 13 กรกฎาคม 2436 ไทยยอมจำนน เสียค่าปรับ และฝรั่งเศสยึด จ. จันทบุรี (บางส่วน) ไว้เพื่อเป็นหลักประกันให้ไทยปฏิบัติตามสัญญา
เมื่อฝรั่งเศสยอมถอนทหารจากจันทบุรี ตามอนุสัญญา แต่ก็ยึด จ.ตราดไว้ ตั้งแต่ 22 มกราคม2447 ยึดได้ 3 ปี จึงถอนทหารออกไป เมื่อ 6 กรกฎาคม 2450 คืน จ.ตราด พื้นที่ 2,819 ตร.กม.ให้ไทยโดยไทยยอมแลกดินแดน เสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ ซึ่งรวมพื้นที่นครวัดด้วยรวม 50,000 ตร.กม.ให้แก่ฝรั่งเศส
ใน “จดหมายเหตุประกอบเรื่องไกลบ้าน” โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตอนหนึ่งว่า
“ในเวลาเมื่อก่อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปยุโรปนั้น รัฐบาลไทยกับรัฐบาลฝรั่งเศสปรึกษาหาทางที่จะปรองดองระงับเหตุบาดหมางกันมาแต่ก่อน ด้วยเรื่องคนในบังคับฝรั่งเศส และเรื่องเขตแดน ได้ตกลงทำหนังสือสัญญากันเมื่อวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125
ฝ่ายไทยยอมยกเมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ และเมืองศรีโสภณ อันเป็นหัวเมืองเขมรให้แก่ฝรั่งเศส ฝ่ายฝรั่งเศสยอมให้คนชาวตะวันออกในบังคับฝรั่งเศสอยู่ในอำนาจศาลไทย และยอมคืนเมืองตราดให้แก่ไทยกับทั้งยอมถอนทหารที่ได้มาตั้งอยู่ในเมืองจันทบุรีถึง 12 ปีนั้น กลับไปไม่ล่วงล้ำเกี่ยวข้อง แดนไทยดังแต่ก่อน หนังสือสัญญานี้ได้รับอนุมัติในปาลิเมนต์ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ร.ศ. 126”
และเมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จกลับจากประพาสยุโรป ก็ได้เสด็จไปเมืองตราด เมื่อ 13 พฤศจิกายน 2450 เวลา 11.00 น.
ทรงมีพระราชดำรัสแก่ข้าราชการ และประชาชนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทว่า
“ครั้นเมื่อเราได้รับโทรเลขจากเมืองตราดในเวลาที่เราอยู่ในประเทศยุโรป เป็นสมัยเมื่อเราได้มาอยู่รวมกันอีกจึงมีความยินดีอย่างยิ่ง มีความปรารถนาที่จะใคร่ได้มาเห็นเมืองนี้และเจ้าทั้งหลาย เพื่อจะได้ระงับความลำบากอันใดซึ่งจะเกิดขึ้นด้วยความเปลี่ยนแปลง และเพื่อจะได้ปรากฏเป็นที่มั่นใจแก่เจ้าทั้งหลายว่าการทั้งปวงจะเป็นที่มั่นคงยืนยาวสืบไป
เจ้าทั้งหลายผู้ที่ได้ละทิ้งภูมิลำเนาจะได้กลับเข้ามาสู่ถิ่นฐาน และที่ได้ละเว้นการทำมาหากินจะได้มีใจอุตสาหะทำมาหากินให้บริบูรณ์ดังแต่ก่อนและทวียิ่งขึ้น ซึ่งเจ้าทั้งหลายคิดเห็นว่าเราเหมือนบิดาที่พลัดพรากจากบุตร จึงรีบมาหานั้นเป็นความคิดอันถูกต้องแท้
ขอให้เชื่ออยู่ในใจเสมอสืบไปในเบื้องหน้าดังเช่นที่คิดเห็นในครั้งนี้ ว่าเราคงจะเป็นเหมือนบิดาของเจ้าเสมอตลอดไป ย่อมยินดีด้วยในเวลามีความสุข และจะช่วยปลดเปลื้องอันตรายในเวลา มีภัยได้ทุกข์”

ก่อนหน้านั้น เมื่อ 22 มกราคม 2447 ที่ไทยถูกบังคับให้ทำพิธีมอบเมืองตราดแก่ฝรั่งเศส โดยชักธงช้างของไทยลง และชักธงชาติฝรั่งเศสขึ้นสู่ยอดเสาแทน ข้าราชการไทยที่เข้าร่วมพิธี ต่างรู้สึกสุดแสนจะรันทดในใจ ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ ต่างรีบหันหลังกลับลงเรือมกุฎราชกุมารกลับสู่กรุงเทพฯ
แต่ในวันที่ตราดคืนสู่อ้อมอกของสยาม เมื่อ 6 กรกฎาคม 2450 ราษฎรไทยที่จำต้องฝืนทน อยู่กับฝรั่งเศสต่างปลื้มปิติ ที่ทิ้งถิ่นก็กลับมาอยู่ที่เดิม ที่ดินซึ่งขายหรือหลุดมือไป หรือจำนองไว้ รัฐบาลก็ช่วยซื้อหรือไถ่ถอนคืนให้ แล้วยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเว้นภาษี และการเกณฑ์ทหาร เป็นเวลาถึง 5 ปี ให้แก่ชาวเมืองตราด ซึ่งได้คืนกลับสู่ปิตุภูมิอย่างอบอุ่นด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
พื้นที่ 4 แห่งต่อไปนี้ อยู่ใน จ.ตราด ที่ผู้เขียนได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ รัฐศาสตร์จุฬาฯ
เกาะหมาก
เกาะหมาก กากขยะ หามีไม่
สูดหายใจ เต็มปอด ตลอดเกาะ
คลื่นเห่ ทะเลหอม อ้อนออเซาะ
เลียบเลาะ น้ำเซาะทราย สบายจัง
คืนจันทร์ผ่องเพ็ญ / 5 พย.68
เกาะหมาก อ. เกาะกูด จ. ตราด

เกาะขาม
ลาวาภูเขาไฟหลายล้านปี
ปักหลักเป็นสักขีที่ “เกาะขาม”
สีดำขลับเรียงรายใต้ฟ้าคราม
เป็นเวรยามพิทักษ์เกาะออเซาะทราย
เกาะเล็กๆพื้นที่ราวร้อยไร่ อยู่ตรงข้ามเกาะหมาก
เขต อ. เกาะกูด จ. ตราด
เกาะสวย น้ำใส ทะเลสะอาด อากาศบริสุทธิ์ / 6 พย.68
Cr.ภาพ วิบูลย์รัตน์ กะนะแสง

เหยี่ยวแดง
ทีละโฉบ ทีละเฉี่ยว แม่นฉมัง
ทีละครั้ง ยังชีวิต อันผาดแผลง
ทีละท่า ทีละทาง อย่างเรี่ยวแรง
เป็น “เหยี่ยวแดง” ในแห่งหน “คนพลัดถิ่น”
ละเอียด เจริญวัฒนะ ชายร่างสันทัด อายุใกล้ 70 เกิดราชบุรี เร่ร่อนไปชุมพร มาปักหลักชีวิตที่ อ.เมือง ตราด มีบึงเลี้ยงปลาของตนเอง พบว่ามี “เหยี่ยวแดง คอขาว” บินวนเวียนมากินปลา จึงจัดหาเครื่องในปลา สับเป็นชิ้นย่อยใส่เรือเอาไปเหวี่ยงชิ้นปลากระจายบนผิวน้ำ
เพื่อนเหยี่ยวแดงพบว่าบึงนี้เป็นแหล่งอาหารใหญ่จึงพากัน “บินขบวน” เป็นฝูงใหญ่ มาหากินกันที่นั่น ในช่วงกลางวัน กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวดูเหยี่ยวกินปลาที่ใครไปตราดต้องไม่พลาด
ร้านอาหารทะเลอร่อย พร้อมดูเหยี่ยวบิน
มากินปลา ที่ร้าน “คนพลัดถิ่น” / 7 พย.68

รีสอร์ท ในอ้อมกอดป่าชายเลน
ระยิบระยับ น้ำกระเพื่อม เลื่อมสลับ
คณานับ สรรพชีวิต ชีวาไหว
วิหค ร้องเพลงพร กล่อมพงไพร
ป่าชายเลน โยงใย ชวนชื่นชู
หิ่งห้อย ชวนปลาตีน มาวิ่งเล่น
กระต่ายเต้น ชมจันทร์ ฝันเคียงคู่
โกงกางแกร่ง กันคลื่น เพื่อนลำพู
ธรรมชาติ ตราตรู ในครรลอง
กานก ปูปลา มาเยือนเหย้า
ร่วมกันเป็น เจ้าเข้า เป็นเจ้าของ
ร่วมกันสร้าง บ้านปู เป็นใยยอง
และได้ใบ รับรอง ประกันชีวิต
ไม่กิน ไม่ฆ่า แต่ปรานี
อยู่กันอย่าง น้องพี่ เสรีสิทธิ์
พืชสัตว์ ทั้งมวล ล้วนมิ่งมิตร
มิตรจิต มิตรใจ ให้แก่กัน
สูดลม หายใจ ได้เต็มปอด
ในอ้อมกอด ธรรมชาติ หฤหรรษ์
แต้มสี เติมสุข ได้ทุกวัน
ชะลอสวรรค์ มาตรงหน้า ป่าชายเลน.
ปล.บันดาลใจจาก ไปเยือน “บ้านปูรีสอร์ท” จ.ตราด / 7 พย.68

หากไม่มีวิเทโศบายอันเปี่ยมล้นด้วยพระปรีชาญาณของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ที่ทรงรับเอาเมืองตราดที่ล้วนเป็นคนไทยคืนสู่แผ่นดินสยาม ไฉนเลยจะได้ร้อยเรียงบทกลอน 4 พื้นที่ประดับไว้ตรงนี้.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา