
"...พูดง่าย ๆ คือการรู้จักนำข้อมูลไปวางไว้อยู่ในที่ ๆ มองเห็นได้ หยิบมาใช้ได้ง่าย ทำให้สามารถการนำข้อมูลไปใช้ได้บ่อย ๆ และทำให้ชุดข้อมูลมีความสำคัญ ทั้งในแง่ของอัลกอริทึมและในแง่ของการทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ เกิดการนำมาอ้างอิงในรูปแบบต่าง ๆ และเข้าไปอยู่ในสายตาของผู้คนจำนวนมากขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้วัฒนธรรมไม่ถูกลืม มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ มีความสามารถในการสืบสานต่อยอด เกิดความภาคภูมิใจในหมู่ผู้ที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรม เป็นแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่ยังคงยึดมั่น มองว่าเรื่องราวที่มาของตัวเองนั้นเจ๋ง มีคุณค่า พร้อมที่จะสืบทอดชุดข้อมูล กระทั่งสามารถผันตัวเป็นผู้เล่า ทำให้ตัวตนของชุมชนและวัฒนธรรมยังคงอยู่ต่อไป ในทุก ๆ รูปแบบของการบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุค..."
สมมติว่าถ้าเราอยากรู้เรื่องสงครามไทยรบพม่าในอดีตจะต้องหาข้อมูลจากไหน ถ้าเป็นยุค 15-20 ปีก่อน คำตอบอาจจะเป็น Google แต่ถ้าเป็นช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลายคนอาจไปค้นหาใน Youtube ไปดูคลิปประเภทที่สรุปเรื่องราวหรือช่องที่ทำคอนเทนท์แนวประวัติศาสตร์ หรือหากไม่ต้องการละเอียดมากก็ไปเสิร์ชใน Tiktok ดูแบบสั้น ๆ เอาแค่สรุปใจความสำคัญ แต่สำหรับคนรุ่น Gen Y - Z นั้น อาจจะไป prompt ถาม AI ให้สรุปออกมาเป็นข้อมูลที่ย่อยมาแล้ว สามารถนำไปใช้ต่อได้เลย
ทุกคนที่เคยผ่านระบบการศึกษาในโลกทุกยุคทุกสมัย ต้องเคยผ่านห้องเรียนประวัติศาสตร์มาทั้งนั้น
แน่นอนว่าวิชาประวัติศาสตร์นั้นมีความสำคัญ เพราะทำให้ผู้เรียนได้รู้ถึงเรื่องราวในอดีต ทั้งการสร้างอารยธรรม การค้นพบทางวิชาความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ เหตุการณ์สำคัญ บุคคล รูปแบบการเมืองการปกครอง รวมถึงสภาพสังคมและการรวมกลุ่มของมนุษย์ ศิลปะวัฒนธรรม และการสร้างระบบการสื่อสารซึ่งบอกเล่าเรื่องราวแนวคิดที่หล่อหลอมสังคมให้เป็นเช่นทุกวันนี้ อันเป็นพื้นฐานทางบริบทในสังคมปัจจุบัน
ในขั้นต้น การเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นั้น เกิดจากการตีความจากข้อมูลที่ผ่านการรวบรวมและวิเคราะห์ จำแนกประเภท ประกอบกับการเชื่อมโยงกับบริบทของข้อมูลในปัจจุบัน จนสามารถนำมาประกอบรวมเป็นเรื่องราวที่มีไทม์ไลน์ชัดเจนตามข้อมูลที่สามารถรวบรวมได้ ตัวอย่างของประเภทข้อมูล เช่น เรื่องเล่าจากปากต่อปาก การจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ภาพวาด ภาพถ่าย สถานที่ วัตถุ ซึ่งใช้เป็นหลักฐานว่าเรื่องราวต่าง ๆ นั้นเกิดขึ้นจริง
ซึ่งตรงนี้สามารถกล่าวได้ว่า เรื่องราวทางประวัติศาสตร์เกิดจากการประกอบกันของข้อมูล การมีอยู่ของประวัติศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่ผูกพันกันระหว่างทักษะการวิเคราะห์หลักฐาน และความสามารถของการบันทึกข้อมูลในแต่ละยุค
ทั้งนี้ ศิลปะของการสร้างและบันทึกข้อมูลเป็นสิ่งที่มีข้อจำกัดในอดีต และพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามการเจริญเติบโตของอารยธรรม นวัตกรรม ภาษาของแต่ละรัฐชาติและชนกลุ่มต่าง ๆ รวมถึงรูปแบบของการบันทึก
เริ่มตั้งแต่ในยุคที่ยังไม่มีภาษา ก็มีการสลักภาพในถ้ำซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ อักษรภาพแบบอิยิปต์โบราณ การวาดภาพ จนกระทั่งอารยธรรมต่าง ๆ เริ่มคิดค้นตัวอักษร และเริ่มมีการจดบันทึกโดยปัญญาชน และการพัฒนาศิลปะวัฒนธรรม ซึ่งชนชั้นปกครองก็มักจะใช้ศิลปินและปัญญาชนเหล่านี้เป็นสื่อในการบอกเล่าเรื่องราวผ่านวรรณกรรมและงานศิลปะ จนกลายมาเป็นประวัติศาสตร์กระแสหลัก จนกระทั่งเกิดนวัตกรรมการถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว คลื่นวิทยุ แผ่นเสียง การบันทึกเสียง ตลอดจนแท่นพิมพ์ ที่ทำให้ประชาชนทั่วไปเริ่มมีความสามารถในการบันทึกข้อมูล ภาระหน้าที่ในการเล่าเรื่องเริ่มเปลี่ยนมือจากชนชั้นนำสู่สื่อมวลชน จนกระทั่งเข้าสู่ยุคของคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ที่ข้อมูลสามารถถูกจัดเก็บได้ในอากาศ สื่อสิ่งพิมพ์กระดาษเปลี่ยนเป็นไฟล์ที่บันทึกไว้ใน cloud บทบาทการเล่าเรื่องของสื่อมวลชนถูกลดทอน และสามัญชนขึ้นมามีบทบาทในการเล่าเรื่องมากขึ้น การอ่านข้อมูลในเป็นหนังสือหรือบทความที่ผลิตโดยนักเขียน เริ่มเปลี่ยนเป็นการเสพการเล่าเรื่องผ่าน short clip หรือ live streaming บนโซเชียลมีเดียของ influencer แทน
จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงวิธีการ รูปแบบการบันทึกข้อมูลและการเล่าเรื่องทางประวัติศาสตร์อยู่ตลอดในทุกยุคทุกสมัย ทุกการเปลี่ยนผ่านของแต่ละยุคจะเกิดการกระจายบทบาทของผู้เล่า ซึ่งแต่ละการเปลี่ยนแปลงล้วนมีเหตุมาจากความบกพร่องของรูปแบบเก่า และความสามารถในการแก้ปัญหาความบกพร่องโดยนวัตกรรมใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ยุคที่ยังไม่มีแท่นพิมพ์ การผลิตหนังสือสักเล่มต้องเขียนด้วยมือลายมือและเย็บรวมเล่มด้วยมือ กระบวนการกินเวลานานและอาจเกิดความผิดพลาดได้ ทั้งยังมีราคาแพง มีเฉพาะในสถาบันศาสนาและมหาวิทยาลัย จึงมีคนจำนวนน้อยที่สามารถเข้าถึงหนังสือ ทำให้การอ่านเป็นกิจกรรมของชนชั้นสูงเสียส่วนใหญ่ ทำให้ชนชั้นสูงเป็นผู้ผูกขาดความรู้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1440 มีการคิดค้นแท่นพิมพ์แบบตัวเรียงโลหะ (Movable Type Printing Press) เป็นจุดเริ่มต้นของ “การปฏิวัติความรู้ของยุโรป” การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์จึงทำได้รวดเร็วขึ้น เกิดโรงพิมพ์สามารถผลิตสื่อสิ่งพิมพ์จำนวนมากได้ในเวลาที่รวดเร็วทำให้คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงสื่อสิ่งพิมพ์ได้ผ่านการเข้าหอสมุดหรือร้านหนังสือ เป็นทำให้ผลงานของนักปราชญ์กรีก–โรมันถูกเผยแพร่อีกครั้ง ก่อให้เกิดกระแส มนุษยนิยม (Humanism) สนับสนุนเหตุผล วิทยาศาสตร์ ความคิดวิจารณ์ จุดไฟ “การปฏิวัติศาสนา” สู่ “การปฏิวัติวิทยาศาสตร์” (Scientific Revolution) การเผยแพร่แนวคิดที่ให้ความสำคัญกับสิทธิ เสรีภาพ และระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย และการปฏิวัติที่ค่อย ๆ ลดทอนอำนาจของชนชั้นนำในยุโรป จนกลายเป็นการก่อเกิด “ระบบการศึกษาใหม่” ในชุดความรู้ของผู้เล่าเรื่องหน้าใหม่ ที่ไม่ใช่ชนชั้นนำอีกต่อไป
ส่วนในปัจจุบัน สามารถพิมพ์ในสามารถ์ทโฟนและโพสต์ลง Facebook ผู้คนสามารถอ่านได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา แต่ถึงอย่างนั้น คนรุ่นใหม่จำนวนมากก็เลิกอ่านหนังสือ และหันไปฟัง podcast แทนเสียแล้ว และในช่วงหลัง ๆ มานี้ กระแส AI podcast ก็ดูจะมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ
คำถามต่อไปคือ ในยุคปัจจุบันเราอยู่ในยุคของการบันทึกข้อมูลและการเล่าเรื่องแบบไหน ? และในอนาคตจะมีทิศทางเป็นอย่างไร ?
ในปัจจุบันนี้ เรายังคงอยู่ในยุคโซเชียลมีเดีย ซึ่งหากจะถามถึงรูปแบบการบันทึกข้อมูลนั้น ต้องมองย้อนกลับที่รูปแบบการค้นหาข้อมูลด้วย ซึ่งแต่ละยุคล้วนต่างกัน ก็อย่างที่ผมสมมติกรณีไทยรบพม่าไว้ในย่อหน้าแรกนั่นแหละ
แค่นี้ก็คงจะพอเห็นภาพของการบันทึกข้อมูลในปัจจุบันและทิศทางที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งในวันนี้ บางสิ่งอาจจะยังเป็นเรื่องใหม่ แต่ลองจินตนาการดูครับ ผ่านไปอีก 50 ปีข้างหน้า คลิป vlog ใน Youtube บางคลิปอาจกลายเป็นแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจนที่บันทึกสภาพสังคม กลายเป็นประวัติศาสตร์สำหรับผู้คนในอนาคต และตลอด 50 ปีที่ผ่านไปนั้น จะมีคลิปบน Tiktok อีกกี่ล้านคลิป ข้อมูลอีกกี่ล้านชุดในขณะเดียวกัน ความสามารถของ AI ใน 50 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
การบันทึกข้อมูลในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ แต่รูปแบบไหนที่มีความสำคัญ และมีความสามารถในการเข้าถึงเข้าถึงประชากรในโลกแห่งข้อมูลนั้นคืออีกเรื่องหนึ่ง ผู้ที่ต้องการบันทึกข้อมูลเข้าไปสู่ระบบนั้น จำเป็นเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในเป้าหมายของข้อมูล รูปแบบการเล่าที่มีประสิทธิภาพ และความต้องการของผู้เสพข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ถึงจะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวและสร้างชุดข้อมูลที่มีมูลค่าและน่าเชื่อถือขึ้นมาได้
การทำความเข้าใจรูปแบบการบันทึกข้อมูลและการเล่าเรื่องทางประวัติศาสตร์ในยุคนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อการคงอยู่และสืบสานวัฒธรรมของกลุ่มอัตลักษณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐชาติ กลุ่มคน และชุมชน เพื่อให้ชุดข้อมูลที่ต้องการนำเสนอนั้น มีความสำคัญมากพอที่จะเข้าไปรวมอยู่ในกระแสของช่วงเวลาแห่งยุค และถูกบรรจุเข้าไปในรูปแบบของการนำเสนอประวัติศาสตร์ในอนาคต ไม่มันว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ซึ่งการจะทำความเข้าใจได้นั้น ต้องอาศัยความเข้าใจในกระแสและเครื่องมือนวัตกรรมในระดับหนึ่ง
สำหรับการสืบสานวัฒนธรรมชุมชนนั้น ต้องมองย้อนกลับไปที่ 3 ฉากทัศน์ของการปะทะกันทางวัฒนธรรม ที่เป็นการปะทันกันระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมและวัฒนธรรมภายนอก หรือวัฒนธรรมกระแสหลักและกระแสรอง
ฉากทัศน์ 1 : วัฒนธรรมดั้งเดิมมีความเข้มแข็ง มีพลังมากพอในการต่อต้านการเข้ามาของกระแสนิยม ทำให้ไม่เกิดค่านิยมใหม่ คนในสังคมยังคงยึดมั่นในวัฒนธรรมดั้งเดิม
ฉากทัศน์ 2 : วัฒนธรรมดั้งเดิมไม่สามารถต้านกระแสนิยมได้ส่งผลให้วัฒนธรรมดั้งเดิมสูญหาย ถูกแทนที่ด้วยค่านิยมหรือวิถีปฏิบัติใหม่
ฉากทัศน์ 3 : กระแสนิยมไม่รุนแรงเกินไป วัฒนธรรมดั้งเดิมมีความสามารถในการปรับตัว ความขัดแย้งน้อย เกิดความประนีประนอม ทำให้เกิดการผสมผสาน ของเก่าอยู่ได้ ของใหม่พัฒนา
อย่างไรก็ตาม การเข้าใจแค่ 3 ฉากทัศน์นี้ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบาย "การอยู่รอดของวัฒนธรรมชุมชน" ในยุคปัจจุบันเพราะโลกยุคนี้ไม่ใช่แค่ยุคของวัฒนธรรมที่ปะทะกัน แต่คือยุคของ การต่อสู้เชิงการเล่าเรื่อง (Narrative Battle) ตามแนวคิดของอันโตนิโอ แกรมชี (Antonio Gramsci) นักคิดสายมาร์กซิสต์และนักทฤษฎีทางสังคม–การเมืองชาวอิตาเลียน เจ้าของแนวคิด Cultural Hegemony ที่เสนอแนวคิดว่าชนชั้นนำไม่ได้ควบคุมสังคมด้วยกำลังเพียงอย่างเดียวแต่ควบคุมผ่าน “ความคิดและวัฒนธรรม” ทำให้คนทั้งสังคมยอมรับระเบียบเดิมโดยไม่รู้ตัว และยังชี้ว่าปัญญาชนไม่ได้มีแต่ในมหาวิทยาลัย แต่รวมถึงคนในชุมชนที่ลุกขึ้นมาเล่าเรื่อง กำหนดความหมาย การที่วัฒนธรรมจะอยู่รอดได้ ต้องชนะในสนามของเรื่องเล่า
ตามแนวคิดของ Gramsci ผู้ที่ควบคุมความหมายของโลกผ่านเรื่องเล่า คือผู้ที่มีอำนาจเหนือวัฒนธรรมและความคิดของผู้คน วัฒนธรรมชุมชนจำนวนมากไม่ได้หายไปเพราะอ่อนแอ แต่เพราะ ไม่มีพื้นที่เล่าเรื่อง จึงถูกลดความสำคัญลงไปโดยปริยาย
เมื่อโจทย์มีว่าทำอย่างไรจึงจะเสริมสร้างวัฒนธรรมดั้งเดิมในชุมชนให้เกิดความแข็งแรงพอที่จะทำให้ไม่ถูกกลืนกินโดยวัฒนธรรมกระแสหลักจากภายนอกที่เกิดจากระบบอำนาจและกระแสเงินตราพานิชย์ จนสูญหายไปในประวัติศาสตร์ ?
คำตอบจึงคือมีความจำเป็นเร่งด่วนเป็นอย่างมาก ที่จะต้องเสริมสร้างความสามารถในการบันทึกข้อมูลและเล่าเรื่องที่สอดคล้องกับยุคสมัย สามารถส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ของชุมชนนำไปใช้ต่อยอด
พูดง่าย ๆ คือการรู้จักนำข้อมูลไปวางไว้อยู่ในที่ ๆ มองเห็นได้ หยิบมาใช้ได้ง่าย ทำให้สามารถการนำข้อมูลไปใช้ได้บ่อย ๆ และทำให้ชุดข้อมูลมีความสำคัญ ทั้งในแง่ของอัลกอริทึมและในแง่ของการทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ เกิดการนำมาอ้างอิงในรูปแบบต่าง ๆ และเข้าไปอยู่ในสายตาของผู้คนจำนวนมากขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้วัฒนธรรมไม่ถูกลืม มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ มีความสามารถในการสืบสานต่อยอด เกิดความภาคภูมิใจในหมู่ผู้ที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรม เป็นแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่ยังคงยึดมั่น มองว่าเรื่องราวที่มาของตัวเองนั้นเจ๋ง มีคุณค่า พร้อมที่จะสืบทอดชุดข้อมูล กระทั่งสามารถผันตัวเป็นผู้เล่า ทำให้ตัวตนของชุมชนและวัฒนธรรมยังคงอยู่ต่อไป ในทุก ๆ รูปแบบของการบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุค
ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคแห่งข้อมูลและ data การต่อสู้ของวัฒนธรรมไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในหมู่บ้านหรือพื้นที่ชุมชนเท่านั้นแต่เกิดขึ้นบนพื้นที่ออนไลน์ ซึ่งถูกขับเคลื่อนโดยอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มใหญ่ เช่น TikTok, YouTube และ Facebook วัฒนธรรมที่ไม่มีตัวตนบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ จึงเสี่ยงต่อการ "หายไปจากสายตาโลก" แม้ว่าจะยังมีอยู่จริงในพื้นที่ก็ตาม
นี่คือความเสี่ยงที่เรียกว่า "Lost Narrative" – วัฒนธรรมไม่ได้สูญหายเพราะถูกทำลาย แต่สูญหายเพราะ ไม่มีใครบันทึกไม่มีใครเล่า และไม่มีใครเห็น
If you don’t record, you disappear.
แน่นอนว่าการปกป้องและสืบสานวัฒนธรรมชุมชนในยุคข้อมูลไม่สามารถพึ่งพาความตั้งใจของชุมชนเพียงอย่างเดียวแต่ต้องได้รับการสนับสนุนในระดับโครงสร้าง และระดับนโยบาย โดยเฉพาะในด้านของคลังข้อมูลที่เป็นระบบ และการสนับสนุนเพื่อพัฒนาทักษะการเล่าเรื่องแก่ผู้เล่าเรื่องในระดับชุมชน การบูรณาการวัฒนธรรมในหลักสูตรการศึกษาเชื่อมการเรียนรู้ท้องถิ่นกับโรงเรียนในพื้นที่ และการผลักดันเศรษฐกิจวัฒนธรรมอย่างเป็นธรรม สร้างประโยชน์ให้ชุมชนโดยตรง ไม่ใช่ถูกทุนภายนอกครอบงำ
ส่วนการเล่าเรื่องในระดับชุมชนนั้นก็มีข้อควรระวังในการสร้าง “มาตรฐานจริยธรรมการใช้วัฒนธรรม” เช่นกันเพื่อไม่ให้วัฒนธรรมถูก commercialize ทำให้เป็นสินค้าเกินจริงจนสูญเสียความหมายแท้จริง โดยสามารถร่วมมือกับมหาวิทยาลัย นักวิจัย และนักสร้างสรรค์สื่อ เพื่อศึกษาและบันทึกเรื่องราวของชุมชนอย่างถูกต้อง และมีคุณค่าทางวิชาการ เป็นการพัฒนาการเล่าเรื่อง โดยไม่บิดเบือนคุณค่าดั้งเดิมของชุมชน คงไว้ซึ่งตัวตนทางข้อมูลที่แข็งแรง
นี่คือภารกิจแห่งยุคสมัย
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก culturesnation.com

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา