
"...สื่อสมัยใหม่จึงเป็นผู้ขายน้อยรายในตลาดดิจิทัล กระนั้น ตัวสื่อเองก็กำลังต่อสู้ระหว่างมโนธรรมสำนึกของความเป็นสื่อในแง่หลักวิชาชีพ (professional aspect) กับความอยู่รอดของสื่อตามหลักการพาณิชย์ (commercial aspect) เช่น ถ้ายึดคุณธรรมตามหลักวารสารศาสตร์ สื่อต้องผลิตข่าวสารด้วยความเป็นกลางตามมาตรฐานวิชาชีพและมีจรรยาบรรณหรือมีจริยธรรม แต่ถ้าจะอยู่รอด สื่อต้องตามใจตลาด โดยเฉพาะอาจมีผู้อุปการะคุณรายใหญ่อยู่เบื้องหลัง..."
1. เครดิตนักการเมือง
เครดิตนักการเมือง (politicians’ credibility) เป็นความไว้วางใจของสาธารณะที่มีต่อนักการเมือง ซึ่งมีผลต่อการเลือกตั้งและการเป็นรัฐบาล
เครดิตนักการเมืองจึงเป็นคุณสมบัติของนักการเมืองที่มีผลกระทบต่อการชักจูงโน้มน้าวประชาชนและสร้างความสนับสนุนทางการเมือง
ปัญหาทางวิชาการที่สร้างความสับสนมาตลอด คือ ทำไมนักการเมืองเมื่อมองในแง่วิชาชีพโดยรวมแล้ว ได้รับความไว้วางใจต่ำมากเมื่อเทียบกับวิชาชีพอื่น เช่น แพทย์ พยาบาลหรือวิศวกร ฯลฯ
หรือว่าทำไมดูเหมือนนักการเมืองบางคนมีเครดิตต่ำ/ต่ำมาก แต่เขาจึงยังคงได้รับเลือกตั้งจากประชาชนและดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล เช่น เป็นรัฐมนตรี หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรี
แสดงว่า เครดิตของนักการเมืองในสายตาของคนกลุ่มหนึ่ง กับสายตาของผู้เลือกตั้ง/ผู้สนับสนุนทางการเมืองแตกต่างกันใช่หรือไม่ หรือว่าเป็นเพราะคนกลุ่มหนึ่งเกิดความเข้าใจผิดในเครดิตของนักการเมืองบางคนใช่หรือไม่
หรือว่าจริง ๆ แล้ว การมีเครดิตหรือไม่มีเครดิตของนักการเมืองสามารถถูกปั่นกระแสขึ้นมาจาก “สื่อ”
การศึกษาว่า “เครดิตของนักการเมือง” ควรวัดจากอะไร เช่น วัดจากรายการ “โหนกระแส” หรือว่ารายการ “เอ็กซ์-อ็อก” หรือว่าวัดจากการโจมตีของ “คุณไอซ์” หรือวัดโดยวิธีการอื่น จึงน่าสนใจไม่น้อย
2. เครดิตของผู้นำการเมืองในทางทฤษฎีพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง
ในทางทฤษฎีอธิบายว่า “การมีเครดิตทางการเมือง” เป็นการประกอบสร้างคุณลักษณะทางการเมืองขึ้นมาโดยกลุ่มผู้ฟังผู้ชมกลุ่มหนึ่ง (an audience) ผ่านทาง “สื่อ” ซึ่งมีลักษณะสัมพัทธ์และพลวัต ทั้งยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามการรับรู้ของผู้ฟังผู้ชม
การศึกษาวิจัยการมีเครดิตหรือไม่มีเครดิตทางการเมือง จึงมีอยู่ทั่วไปทั้งสาขาวิชารัฐศาสตร์ และสาขาสื่อสารมวลชนหรือวารสารศาสตร์
2.1 Source Credibility Theory
ทฤษฎีที่ใช้ในการศึกษาเครดิตการเมืองที่สำคัญ ได้แก่ ทฤษฎี Source Credibility Theory หมายความว่า “การมีเครดิตหรือไม่มีเครดิตของนักการเมืองเกิดขึ้นจาก “Source” ใด หรือแหล่งที่มาของการสื่อสารชนิด/ประเภทใด ใครเป็นผู้ส่งสาร มีความสามารถ บุคลิก การสังคม ความสงบสุข และการชอบแสดงออก เป็นอย่างไร
(1) ด้านความสามารถ (competence) วัดจากการมีคุณสมบัติความเป็นสื่อ ความชำนาญ ความน่าเชื่อถือ และกระแสความทันสมัยของข้อมูลข่าวสาร
(2) ด้านบุคลิก (character) วัดจากความใจดี ความมีมิตรจิตมิตรใจ ความเห็นแก่ตัว และการมีคุณธรรม
(3) ด้านสังคม (sociability) วัดจากความเป็นมิตร การให้กำลังใจ และความอดทน
(4) ด้านความสงบ (composure) วัดจากความตื่นเต้น เยือกเย็น ความเครียด ความสุขุม
(5) ด้านการแสดงออก (extroversion) วัดจากความก้าวร้าว กล้าหาญ ช่างพูดและเสียงดัง
2.2 อคติของแหล่งที่มาของสาร
อคติ (bias) ของสื่อมีผลต่อเครดิตของแหล่งที่มาของสาร เป็นตัวสะท้อนการรับรู้และเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการแสดงความคิดเห็นต่อหัวข้อเรื่องที่สื่อนำเสนอ
หลักการวิเคราะห์อคติของสื่อมาจากอริสโตเติ้ล (Aristotle) คือ หลักจริยธรรม (ethos) การแสดงอารมณ์ (pathos) และหลักตรรกะ (logos)
การเข้าใจอคติของสื่อจะทำให้เราเข้าใจเครดิตของแหล่งที่มาของสารได้อย่างครอบคลุม
2.3 ปัญหาหลักวิชาชีพของสื่อสมัยใหม่
สื่อสมัยใหม่ (modern media) มีฐานะความได้เปรียบทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ที่คนทั่วไปไม่สามารถครอบครองได้ (technological aspect) เนื่องจากปัญหาการขาดพื้นฐานของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (digital infrastructure) ของประเทศ เช่น ชาวนา หรือชาวสวนยางพาราไม่มีแพลทฟอร์มขายข้าวหรือขายยางเป็นของตัวเอง หรือชาวบ้านไม่มีเวทีแสดงความคิดเห็นแข่งกับมติชนออนไลน์หรือไทยรัฐออนไลน์
สื่อสมัยใหม่จึงเป็นผู้ขายน้อยรายในตลาดดิจิทัล กระนั้น ตัวสื่อเองก็กำลังต่อสู้ระหว่างมโนธรรมสำนึกของความเป็นสื่อในแง่หลักวิชาชีพ (professional aspect) กับความอยู่รอดของสื่อตามหลักการพาณิชย์ (commercial aspect) เช่น ถ้ายึดคุณธรรมตามหลักวารสารศาสตร์ สื่อต้องผลิตข่าวสารด้วยความเป็นกลางตามมาตรฐานวิชาชีพและมีจรรยาบรรณหรือมีจริยธรรม แต่ถ้าจะอยู่รอด สื่อต้องตามใจตลาด โดยเฉพาะอาจมีผู้อุปการะคุณรายใหญ่อยู่เบื้องหลัง
3. การดีเบตเครดิตนักการเมืองไทยว่าด้วยไอซ์ vs. กัน/ธรรมนัส และสื่อ
กรณีดีเบตทางการเมืองระหว่างคุณไอซ์กับคุณกัน จอมพลัง นัยว่ากระทบไปถึงคุณธรรมนัสด้วยนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องเครดิตทางการเมือง (political credibility)
สาระสำคัญของเรื่อง คือ คุณธรรมนัส เคยต้องคดีอาญาและพ้นโทษมาแล้ว ต่อมา หันมาเล่นการเมือง โดยการสมัคร ส.ส. ตั้งพรรคการเมือง และเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ปัญหาของคุณธรรมนัสเรื่องการต้องโทษในคดีอาญานั้น ไม่ได้กระทบต่อคุณสมบัติของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นเรื่องในอดีตและพ้นโทษมาแล้ว
แต่มีปัญหารอยด่าง (stigma) ติดตัว หากว่ามีผลต่อการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส.ส.และสว. ย่อมสามารถเข้าชื่อกันขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคุณธรรมนัสฝ่าฝืนจริยธรรมดังกล่าวหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงอาจตัดสินให้คุณธรรมนัสพ้นจากตำแหน่งความเป็นรัฐมนตรี และกกต. สามารถนำคำวินิจฉัยฟ้องศาลฎีกาให้ตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งการเป็นส.ส.ของคุณธรรมนัสได้ แต่ส.ส.และสว.ปัจจุบัน ไม่ได้ทำเช่นนั้น
ในการเล่นการเมืองของคุณธรรมนัส ก็เป็นธรรมดาที่นักการเมืองต้องหาทางทำประโยชน์ให้กับสังคม เริ่มจากการบริจาค ให้การสงเคราะห์และช่วยเหลือคนพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของตัวเอง และต่อมา ก็ขยายฐานการเมืองออกไปยังเขตอื่น ๆ เพื่อสร้างพรรคให้เติบใหญ่ขึ้น
สำหรับ Source ของเครดิตทางการเมืองอย่างหนึ่ง นอกเหนือจากตัวคุณธรรมนัสจะสร้างเองแล้ว ก็ต้องอาศัยคนอื่น ไม่ได้ต่างจากระดับนานาชาติ เช่น สหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ ใช้วิธีสร้างเครดิตทางการเมืองระหว่างประเทศโดยกระทำผ่านทางชื่อเสียงของบริษัทเอกชนในระยะแรก
ต่อมา ก็อาศัยองค์กรภาคประชาสังคม (civil society) โดยการให้เงินอุดหนุนองค์กรภาคประชาสังคมไปทำประโยชน์ให้กับคนในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น องค์กรสิทธิมนุษยชนภาคพลเมืองของไทย หรือในเมียนมาร์ เป็นต้น
การที่คุณธรรมนัสให้เงินสนับสนุนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่คุณกัน จอมพลัง เพื่อให้คุณกันไปช่วยเหลือประชาชน เป็นไปตามหลักของการสร้างเครดิตทางการเมือง โดยอาศัยองค์กรภาคพลเมืองช่วย
เมื่อเกิดปัญหาการรบพุ่งที่ชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาขึ้น พรรคประชาชนเสียคะแนนอย่างมาก จากที่เคยโจมตีทหารว่า “มีทหารไว้ทำไม” และ “ทหารไทยรบไปก็ไม่ชนะ” แต่ทหารกลับได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด หากรัฐบาลเพื่อไทยไม่รีบทำสัญญาสงบศึกกับกัมพูชาก่อน ทหารไทยอาจได้รับชัยชนะเด็ดขาดกว่านั้นด้วยซ้ำไป
หลังสงครามสงบ ปัญหาชายแดนยังระอุ ต่อมา มีการทำสงครามจิตวิทยากันต่อเนื่อง ฝ่ายกัมพูชาส่งชาวบ้านมายั่วยุไทยในพื้นที่เขตชายแดน คุณกัน จอมพลัง เดินทางไปชายแดนเพื่อเคลื่อนไหวช่วยทหาร แม้จะล้ำเส้นไปบ้าง เช่น เอารถดูดส้วมไป หรือใช้วิธีการกระจายเสียงข้ามแดน อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ก็ทำไปโดยเจตนาบริสุทธิ์ และยังอยู่ภายใต้ขอบเขตการควบคุมของฝ่ายทหารและฝ่ายปกครอง
หลังจากนั้นมีปัญหาสแกมเมอร์ในกัมพูชา ที่จริงเป็นปัญหาที่สหรัฐอเมริกาเปิดโปงมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลเพื่อไทยแล้ว ประกอบกับต่อมา สื่อไทยนำเสนอข่าวนายเบน สมิธ ว่าสนิทสนมกับทั้งฮุน เซนและทักษิณ วันหนึ่งมีการพูดคุยกัน โดยมีภาพคุณธรรมนัสร่วมอยู่ด้วย
เมื่อสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเกาหลีใต้ เอาจริงกับการแก้ปัญหาสแกมเมอร์ โดยใช้มาตรการรุนแรง เพราะประเทศเขามีกฎหมายปราบองค์กรอาชญากรรมโดยตรง สามารถเอาโทษแก่ผู้มีส่วนร่วมกระทำความผิด โดยที่ผู้นั้นยังไม่ได้กระทำความผิด สำหรับในสหรัฐอเมริกาเรียกว่ากฎหมาย “RICO Statues”
ประกอบกับเขาได้รัฐบาลที่เข้มแข็ง กระตือรือร้นและได้รับการผลักดันจากขบวนการเคลื่อนไหวในประเทศ เขาจึงใช้มาตรการเชิงรุก
เกาหลีใต้ส่งผู้ช่วยรัฐมนตรีเข้าไปในกัมพูชา และส่งคนเกาหลีใต้กลับประเทศ ขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาและอังกฤษใช้มาตรการยึดทรัพย์หัวหน้าแก๊งค์สแกมเมอร์ทันทีทันใด
แต่ประเทศไทย รัฐบาลอ่อนแอ ข้าราชการอ่อนแอ และกฎหมายไม่เอื้ออำนวย การตรวจสอบจึงเป็นไปอย่างล้าช้า และขาดการประสานงานกัน รัฐบาลไม่กล้าตัดสินใจตั้ง “วอร์รูม” แก้ปัญหาสแกมเมอร์ และชี้แจงขั้นตอนให้ประชาชนทราบโดยตรง เช่น ออกรายการโทรทัศน์ และแสดงผลงานการปราบปรามแก๊งค์สแกมเมอร์
จึงเป็นช่องทางการสื่อสาร ที่ “คุณไอซ์” และทีมงานนำเอาไปโจมตีคุณกันทำนองว่า เอาเงินสนับสนุนที่เป็นสีเทา มาทำงานภาคประชาสังคม หรืออะไรทำนองนั้น
ในที่สุด “คุณไอซ์” คิดมุกหาเสียงขึ้นมาได้ว่า “มีส้ม ไม่มีเทา” และหวังว่ากระแสจะเปรี้ยงปร้าง ไม่แพ้กระแส “มีลุง ไม่มีเรา” ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว
กระแส “คุณไอซ์” จะจุดติดขึ้นมาไม่ได้ หากไม่มีรายการสื่อ ช่วยโหมประโคมข่าว สำทับด้วยนักการเมืองประเภท opportunist รีบฉวยโอกาสทางการเมืองโหนกระแส
รายการสื่อต่าง ๆ ของไทยในปัจจุบันหลายรายการ จึงนำเอาปัญหาสแกมเมอร์ไปสร้างเป็นข่าวสารสาธารณะและหวัง “ปั่น” ให้เป็นกระแสทางการเมือง โจมตีทั้งรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย และคุณธรรมนัส
4. Political Punishment without Accountability
การโหมโจมตีคุณกัน และโยงไปหาคุณธรรมนัสดังกล่าว ที่เริ่มกระทำโดย “คุณไอซ์” และเสริมต่อ ๆ กันไปโดยสื่อชนิดและประเภทต่าง ๆ โดยนักจัดรายการ และวิทยากรที่แสดงความคิดเห็นซ้ำเติมอย่างมีอคติ นั้น เท่ากับบรรดาสื่อต่าง ๆ กำลังรุมลงโทษทางการเมือง (political punishment) แก่คุณกันและคุณธรรมนัส โดยไม่ต้องรอศาลตัดสิน
ปัญหาทางจริยธรรมที่เกิดขึ้นกับสื่อไทย ได้แก่
(1) ปัญหาสแกมเมอร์เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลเพื่อไทย หรือแม้แต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ กรณีที่มีปัญหา คือ มีภาพเปิดเผยต่อสาธารณะว่าทักษิณคุยกับเบน สมิธ โดยมีคุณธรรมนัสนั่งอยู่ด้วยที่โรงแรมเกษร กรุงเทพฯ
แต่เหตุใดสื่อไทยกลับไม่แตะทักษิณ ทั้งที่มีข้อมูลว่าเบน สมิธ เป็นที่ปรึกษาทักษิณ และเป็นที่ปรึกษาฮุน เซน เป็นนายหน้าขายเครื่องบินให้คนทั้งสอง และเป็นที่ปรึกษาการลงทุนให้คนทั้งสอง โดยเฉพาะกรณีการซื้อหุ้นบริษัทบางจาก
(2) สื่อไทยกลับโยงปัญหาสแกมเมอร์จากภาพดังกล่าวเข้ากับคุณธรรมนัส ทั้งที่คุณธรรมนัส นั่งหันหลังและมองแทบไม่ออก ทั้งยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าคุณธรรมนัสโยงใยกับแก๊งค์สแกมเมอร์อย่างไรที่แน่ ๆ คือ คุณธรรมนัสไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซื้อหุ้นบริษัทบางจากที่โยงไปถึงฮุน เซน
(3) หากคุณธรรมนัสคุยกับทักษิณ แล้วเป็นการดีลกันเพื่อประโยชน์ทางการเมือง และเกี่ยวโยงกับผลประโยชน์ในกัมพูชา แล้ว
ทำไมสื่อไทยไม่ขุดคุ้ยว่า ทักษิณคุยกับฮุน เซน เรื่องอะไรบ้าง เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในกัมพูชามากน้อยเพียงใด ตัวฮุน เซนเองก็เคยแสดงภาพห้องนอนสีชมพูที่ทักษิณเคยไปนอนบ้านฮุน เซน
(4) ถ้าการคุยกันเป็นการสันนิษฐานว่ากำลังตกลงกันทำผิดกฎหมาย ทำไมสื่อจึงไม่สงสัยว่าคุณทักษิณคุยกับใครบ้าง เช่น คุณทักษิณคุยกับคุณธนาธรที่เกาะอะไร หรือประเทศอะไร ทั้งที่คุณธนาธรออกมาเปิดเผยเอง
แต่มีผลอย่างชัดเจนว่าหลังคุยกันแล้ว มีผลให้พรรคก้าวไกลไม่ยอมตรวจสอบปัญหาจริยธรรมอย่างร้ายแรงกรณีชั้นสิบสี่ของคุณทักษิณ และมีผลให้คุณธนาธรแสดงปาฐกถาว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเดินทางมาถึงกระดาษบทสุดท้ายว่าด้วย “Grand Compromise”
(5) ปัญหาของสื่อไทย คือ ทำไมไปเจาะจงเฉพาะเงินทุนที่สนับสนุนคุณกัน จอมพลัง ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่น้อยมากเมื่อเทียบกับเงินสนับสนุนการเมืองโดยตรงในสายอื่น เช่น กรณีการขุดเจาะน้ำมัน หรือกรณีเอนเทอร์เทนเม้นต์ คอมเพล็กซ์ กรณีซอฟท์พาวเวอร์
การที่พรรคภูมิใจไทยเปิดโปงว่า มีคนเสนอให้เงินเดือนละสี่สิบล้านบาทเพื่อแลกกับการไม่จับการพนันออนไลน์ แสดงว่าที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครเสนอและหรือรับเงินอย่างเดียวกันเลยหรือ
(6) ขนาดของปัญหาบ่อนการพนันในกัมพูชา กับปัญหาการพนันออนไลน์ในประเทศไทยและปัญหาสแกมเมอร์ทั่วโลกเป็นปัญหาขนาดใหญ๋ที่มีขอบเขตกว้างขวางกระจายออกไปทั่วโลก
อันที่จริงเกินกำลังความสามารถในการปราบปรามของกำลังตำรวจในประเทศไทย แต่รัฐบาลไทยทุกยุคทุกสมัย ปิดบังปัญหาการขาดสมรรถนะนี้มาตลอด เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของการเป็นรัฐบาล
สื่อไทยเองก็รับทราบข้อมูลมาจากทอม ไรท์ อดีตนักข่าวชื่อดัง ตัวทอม ไรท์ เองก็อาศัยข้อมูลจากสายข่าวในรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
ส่วนสหรัฐอเมริกาก็เคยเสนอข้อมูลเปิดโปงการกระทำที่ผิดกฎหมายในกัมพูชากับการฟอกเงินในสหรัฐอเมริกามาก่อนแล้ว
ปัญหาของสื่อ คือ การนำข่าวสารของทอม ไรท์ มาเสนอในทันทีโดยที่ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ อาจเป็นอันตรายต่อความน่าเชื่อถือของสื่อเอง
ขณะเดียวกัน ก็เป็นปัญหาการสนองตอบของรัฐบาล เพราะรัฐบาลตอบสนองต่อปัญหาที่ทอม ไรท์ เสนอช้าเกินไป
รัฐบาลจำเป็นต้องทำงานเชิงรุกมากกว่าที่เป็นอยู่ เช่น แสดงออกอย่างฉับพลันต่อปัญหา และอธิบายขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นแก่ประชาชน
ในที่สุดจึงเกิดเป็นข่าวลือ และการนำไปใช้ประโยชน์ในการสื่อสารทางการเมือง โดยการหาคะแนนนิยมด้วยการลงโทษทางการเมืองไปล่วงหน้าก่อนการพิจารณาความผิดตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมาย (due process of law)
5. ผู้นำกับแคมเปญทางการเมือง
ปัญหาของการเมืองไทย นอกจากจะต้องเรียกร้องให้ “สื่อ” ลดการปั่นกระแสและมีจริยธรรมวิชาชีพมากกว่าที่เป็นอยู่แล้ว ประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูปพรรคการเมืองเป็นอย่างมาก
ขั้นตอนแรกสุดของการปฏิรูปพรรคการเมือง คือ การเปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมือง (Leadership Change) ขั้นตอนต่อไป คงต้องเปลี่ยนกลุ่มก้อนหรือมุ้งการเมือง (Partisanship Change) สุดท้าย คงต้องเปลี่ยนระบบการแข่งขันทางการเมืองและระบบการเมือง (Parties and Political System)
5.1 การปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมือง
พรรคหลายพรรค เช่น เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ กำลังเริ่มต้นถูกทาง (started on the right foot) โดยการเปลี่ยนตัวผู้นำทางการเมือง
ปัญหาที่ตามมา คือ ประเทศไทยยังขาดผู้นำทางการเมืองประเภท “Expressive Style” หมายถึงผู้นำที่มีความสามารถทางด้านการสื่อสารและการแสดงออกที่เน้นความกระตือรือร้น การแสดงออกทางอารมณ์อย่างเปิดเผย และมีความคิดสร้างสรรค์ เป็นคนช่างพูด มีพลัง ชอบแสดงความคิดเห็น และกระตือรือร้นในการริเริ่มสิ่งใหม่ๆ พวกเขามีความเป็นมิตร เปิดเผย และชอบการมีส่วนร่วมในบทสนทนาที่มีชีวิตชีวา
ส่วนพรรคการเมืองก็คงต้องเปิดเวทีในพรรคให้กว้าง ไม่ให้มีกลุ่มชนชั้นนำ (caucus) หรือกลุ่มนักเคลื่อนไหวผู้ก่อตั้งพรรค (cadre) คอยขวางหรือชี้นำพรรค เปิดทางให้คุณใหม่ ๆ เข้ามาและก้าวหน้าบ้าง ไม่ตีบตันเป็นคอขวดเหมือนระบบราชการ จึงจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้
ผู้นำพรรคต้องสื่อสารการเมืองให้ทันต่อปัญหาและเร็วกว่านี้ อย่างน้อยก็ต้องคิดเชิงรุกและมีกรอบการทำงานเชิงรุก บางทีทีมงานที่แข็งแกร่งน่าจะเป็นคำตอบที่ช่วยได้
วิธีการง่าย ๆ ที่แก้ปัญหาทันที เช่น การตั้งวอร์รูมตอบโต้ต่อปัญหาสแกมเมอร์อย่างทันอกทันใจผู้ฟังผู้ชม คงยกสถานะผู้นำการเมืองไทยให้สูงเด่นมากกว่านี้
5.2 มีส้ม ไม่มีเทา
การสร้างมุกหาเสียงใหม่ของ “คุณไอซ์” ว่า “มีส้ม ไม่มีเทา” น่าจะเป็น “มุกแป้ก” ที่ล้มเหลวที่สุดของพรรคประชาชน แม้จะเลียนแบบการสร้างขั้วตรงกันข้าม (binary classification) เหมือนมุก “มีเรา ไม่มีลุง”
ยุค “คุณพิธา” เป็นยุคที่พรรคประเภทต่อต้านระบบ (anti-establishment party) อย่างพรรคก้าวไกล ถึงจุดสูงสุดของความเติบโตในแง่ของจำนวนส.ส.แล้ว เนื่องจากมีกระแสต่อต้านการรัฐประหารและการเดินขบวนของนักศึกษาเรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศ กระจายออกไปทั่วประเทศ
คุณพิธาจึงยอมรับกลาย ๆ ว่าให้หันมาปรับปรุง “คุณภาพ” ภายในพรรค
ความจริงพรรคประชาชนไม่อาจอ้างได้ว่า “ประชาธิปไตยไทยถดถอย” เพราะตามข้อเท็จจริงนั้นพรรคตัวเองเติบโตมาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น โดยมี “สื่อ” ช่วยเลี้ยงกระแสอยู่ตลอดจนปัจจุบัน
แต่ต่อไปจากนี้ไป ยุทธศาสตร์การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับซึ่งมอบอำนาจทั้งหมดให้กับกลุ่มผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่พรรคประชาชนควบคุมไม่ได้ จะทำลายคะแนนเสียงของพรรคประชาชน
คนไทยย่อมมองเห็นว่า “ความฝัน” ของพรรคประชาชนที่จะใช้รัฐธรรมแก้ปัญหาทุกอย่างของประเทศนั้น “ไม่มีทางเป็นไปได้” เพราะว่าปัญหาของประเทศไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยรัฐธรรมนูญ ปัญหาบางอย่างรัฐธรรมเขียนไว้ดีอยู่แล้ว เช่น การให้อำนาจ กกต. ปปช. ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง
การที่ กกต.หรือปปช.ไม่จับคนทุจริต หรือศาลปกครองพิจารณาคดีล่าช้า ไม่ได้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ
ประกอบกับคดีความที่ถูกตัดสินออกมาเรื่อย ๆ นับตั้งแต่คุณธนาธรบริจาคเงินให้พรรคอนาคตใหม่ 198 ล้านบาท จนกระทั่งคุณพิธาขอแก้กฎหมายอาญาให้สำนักพระราชวังเป็นคู่ความในคดีอาญา และส.ส.ที่เข้าชื่อกันสนับสนุนให้แก้กฎหมายดังกล่าวกำลังถูกปปช.ชี้มูลและส่งศาลฎีกาตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
ไปจนถึงกระแส “ทหารมีไว้ทำไม” จะเซาะกร่อนบ่อนทำลายฐานเสียงของพรรคประชาชน แม้จะพรรคประชาชนจะโต้กลับด้วยการทำลายเครดิต “ศาล” เพียงใด คนย่อมรู้ดีว่า “ศาล” เป็นสถาบันที่มีเครดิตในตัวเองไม่น้อย
ยิ่งกระแส “สีส้ม ไม่มีสีเทา” ยิ่งเป็นกระแสที่ไปต่อไม่ได้ สมาชิกพรรคหลายคนต้องโทษจำคุกในคดีอาญา พรรคอนาคตใหม่เองก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าถูกครอบงำโดยคุณธนาธร นอกจากนี้ยังมีคดีอาญาข้อหาปลอมใบสด.43 ที่กำหนดการตัดสินคดีออกมาแล้ว
คดีพวกนี้ล้วนแสดงว่า “สีส้ม ก็เทา” ไม่แพ้พรรคอื่น
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก mgronline.com

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา