
"...ก่อนจากกัน จ๋าทิ้งท้ายว่า “ทุกคนมีความทุกข์ในแบบของตัวเอง ถ้าเผชิญอยู่อย่าหนีมัน ให้มองว่าความทุกข์คือครู ที่จะทำให้เราเติบโต อะไรเกิดขึ้นก็ยอมรับก่อน แล้วค่อยหาทางอยู่กับมันให้ได้ ถ้าแก้ไม่ได้ ก็เรียนรู้จากมัน สักวันความทุกข์จะจางหายไป และเราจะมีความสุขในแบบของเราเอง”..."
“#ว่าด้วยเรื่องแต่งงาน เราแต่งงานกับผู้ชายที่หล่อมากมายที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และมาเจอกันอีกทีตอนโต...เราสองคนแต่งงานกันตอนอายุ 24 ปี และเลิกกันจริง ๆ ตอน 36 ปี (แอบมีเลิกไม่จริง 1 หนถ้วน)…บางทีชีวิตก็ไม่ได้ลงตัวด้วยความสมบูรณ์แบบ ตามคำนิยามปกติ การลงตัวอย่างมีความสุขอาจมาจากความบิดเบี้ยวเล็กน้อยหรือขาดวิ่นนิดหน่อย เด็ก ๆ เองก็อาจจำเป็นที่จะได้เรียนรู้แบบนั้น รวมถึงรู้จักกับความผิดหวังบ้าง เพื่อให้จิตใจแข็งแกร่ง และเพื่อจะได้เข้าใจความจริงของโลก รวมทั้งไม่คาดหวังสิ่งที่เป็นไปได้ยาก...”
ข้อความตอนหนึ่งจากเพจ “เกษียณให้เด็กมันดู” บน Facebook ที่มียอดอ่านกว่า 9,700 คนในชั่วข้ามคืน เรื่องราวตรงไปตรงมา แต่เต็มไปด้วยพลังของความจริงใจ จากผู้กล้านำชีวิตจริงมาเล่าสู่กันฟัง สะท้อนภาพของสังคมและสถาบันครอบครัวที่หลายคนไม่กล้าเปิดเผยด้านเปราะบางของตนเอง
เมื่อเข้าไปเยี่ยมเพจนี้ผมพบว่า เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลังเจ้าของเพจเกษียณจากการทำงานกว่า 30 ปี โดยมีลูกชายคนโตซึ่งเป็นอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ เป็นผู้จุดประกายและเปิดเพจให้ “เพราะกลัวแม่เหงา” และรู้ดีว่าแม่อยากถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตให้คนอื่นได้เรียนรู้ ช่วงแรก “เครื่องยังสตาร์ตไม่ติด” แต่พอได้จังหวะ เรื่องราวต่าง ๆ ก็พรั่งพรูออกมา ตั้งแต่เรื่อง #ว่าด้วยเรื่องการทำงาน #สุขภาพทางกาย #ชีวิตคู่ #ชีวิตโสด #ความสวยงามของชีวิต #สุขภาพทางการเงิน ไปจนถึง #แนวทางการใช้ชีวิตกับเรื่องของธรรมะ ทุกบทความเขียนด้วยภาษาง่าย ๆ แต่จริงใจและกินใจผู้อ่าน จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันมีผู้ติดตามกว่า 25,000 คน และที่สำคัญ เจ้าของเพจจะตอบกลับทุกคอมเมนต์ด้วยความใส่ใจ อย่างคนที่ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” จริง ๆ
ด้วยความบังเอิญที่เหมือนพรหมลิขิต ผมพบว่า เจ้าของเพจนี้คือ คุณปฏิมา จำปาสุต (จ๋า) เพื่อนสนิทของเพื่อนผมเอง![1] เมื่อทราบดังนั้น ผมจึงไม่รีรอที่จะขอนัดสัมภาษณ์ และเธอก็ตอบรับด้วยความยินดี เรานัดพบกันที่บ้านของเธอในซอยอารีย์ บ้านที่เพิ่งปรับปรุงต่อเติมและสร้างเพิ่มอีกหนึ่งหลัง แม้อยู่ในซอยเล็ก ๆ แต่บรรยากาศอบอุ่น เต็มไปด้วยความรักของครอบครัว ทั้งแม่ ลูกชายสองคน และลูกสะใภ้ บ้านหลังนี้คือที่ที่เธอเติบโตมาตั้งแต่ยังเด็ก

จ๋ายังคงความสดใสดูมีชีวิตชีวาใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม สะท้อนความเป็น “สาวหวาน” ในอดีตที่ใคร ๆ ต้องเหลียวมอง เธอเริ่มเล่าอย่างอารมณ์ดีว่า พ่อแม่เปิดร้านขายของสารพัดอย่างในตัวเมืองนครสวรรค์ เป็นลูกคนสุดท้องที่ห่างจากพี่สาวคนรองสุดท้ายถึง 9 ปี จึงถูกแซวเสมอว่าเป็น “ลูกหลง” หรือบางทีก็ว่าเป็น “ลูกข้างบ้านที่พ่อแม่เก็บมาเลี้ยง” แม่ตั้งใจจะไปคลอดที่กรุงเทพฯ เพื่อให้ลูกได้ชื่อว่า “เด็กชาวกรุง” แต่กลับคลอดก่อนกำหนดต้องให้หมอตำแยมาทำคลอดถึงบ้าน และต่อมาครอบครัวก็ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบ้านหลังเดิมที่เธอยังอาศัยอยู่จนถึงวันนี้
จ๋าเข้าเรียนที่โรงเรียนดรุโณทยาน ย่านสะพานหัวช้าง ซึ่งมี ครูฉลบชลัยย์ พลางกูร เป็นครูใหญ่ผู้ได้รับการขนานนามว่า “ครูผู้มีชีวิตเพื่อผู้อื่น” โรงเรียนเน้นทั้งวิชาความรู้และคุณธรรม มีนักเรียนเพียงห้องละ 20 คน ที่สำคัญคือ ปลูกฝังทักษะภาษาอังกฤษที่ต่อมากลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานของเธอ
ในวัยเยาว์ เธอยอมรับว่า “ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร” ไม่มีเป้าหมายชัดเจน ใครให้ทำอะไรก็ทำตาม พอถึงวัยเรียนต่อมหาวิทยาลัย พ่อขอร้องให้เข้าเรียนที่จุฬาฯ พี่สาวจึงเป็นคนเลือกคณะให้ทั้งหมดหกอันดับ และผลคือ เธอสอบติดคณะนิติศาสตร์ แม้จะไม่ได้รู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบก็ตามหลังเรียนจบจึงขอพ่อไปเรียนเปียโนที่ Trinity College ประเทศอังกฤษเป็นเวลาหนึ่งปี แต่กลับมาพร้อมความผิดหวังในความรัก ก่อนจะแต่งงานตอนอายุ 24 ปี และกลายเป็น “แม่เลี้ยงเดี่ยว” เมื่ออายุ 36 ปี เธอต้องเลี้ยงลูกสองคนด้วยตัวเอง พร้อมหางานทำเต็มเวลาจนกลายเป็นนักแปลเอกสารกฎหมาย ทำงานในสำนักงานทนายความหลายแห่ง ต่อมาเป็นเลขานุการบริษัทของธนาคารพาณิชย์ถึงสองแห่งก่อนเกษียณในที่สุด
เรื่องราวของคุณจ๋าต่อจากนั้นเป็นอย่างไร ผมไม่อยากจะเป็นนักสปอยล์ พวกเราสามารถติดตามจากเพจของเธอได้ แต่จากการได้นั่งพูดคุยกันกว่า 2 ชั่วโมง ผมรับรู้ได้ว่า จ๋าเป็นหญิงแกร่งฟันฝ่าอุปสรรคของชีวิตมาโดยตลอด แม่เสียชีวิตตั้งแต่เธออายุ 12 ปี ผิดหวังกับความรักเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่แทนที่เธอจะยอมแพ้แก่โชคชะตา กลับลุกขึ้นสู้ กล้าเผชิญกับปัญหา และหาทางออก
โดยเฉพาะเมื่อเกษียณจ๋าพบว่า เงินออมของตัวเองจะหมดภายในอายุ 70 ปี แทนที่จะตื่นตระหนก เธอกลับเลือก “ปรับตัว” ลดค่าใช้จ่ายบางส่วน เช่น จากที่เคยจ้างครูฟิตเนสสอนสามครั้งต่อสัปดาห์เหลือเพียงสองครั้ง หรือเปลี่ยนประกันรถยนต์จากชั้นหนึ่งเป็นชั้นสาม พร้อมจดบันทึกค่าใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์ เพียงเท่านี้ เธอก็สามารถยืดอายุเงินออมให้อยู่ได้นานขึ้น และใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างสงบและมีคุณภาพ

การกล้าเผชิญกับความทุกข์ ส่วนหนึ่งเกิดจากการฝึกปฏิบัติธรรม ซึ่งเธอทำมาตั้งแต่วัยเด็กจ๋ากล่าวเสริมว่า “การปฏิบัติธรรมช่วยให้เห็นความจริงของชีวิต เห็นว่าไม่ใช่ตัวเราจริง ๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่น กังวลเพราะเรายังยึดว่าเป็น “ตัวเรา” อยู่ แต่เมื่อเอา “ตัวเรา” ออกไปได้ ทุกอย่างก็จะเบา” ทุกวันนี้เธอนั่งสมาธิ และยังคงไปปฏิบัติธรรมกับอาจารย์สุภีร์ ทุมทอง อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อผมถามว่า “เป็นห่วงอะไร?” จ๋าตอบอย่างไม่ลังเล “คงไม่พ้นห่วงลูก นี่คือที่สุด ลูกประกอบอาชีพอิสระ มีความไม่แน่นอนสูง คนเล็กเป็นจิตรกร คนโตจะมีงานตลอดเวลาไหม ทุกข์ แต่คิดว่าทำอะไรไม่ได้ ต้องฝึกวางให้ได้ และเมื่อคิดได้ว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง ลูกก็มีกรรมของตัวเอง ขนาดตัวเรายังไม่สามารถกำหนดวิถีชีวิตตัวเองได้ ดังนั้น ต้องอยู่กับตัวเองและยอมรับให้ได้”
เมื่อผมถามว่า “จ๋าพอใจกับชีวิตไหม?” เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มบาง ๆ แล้วตอบว่า “จ๋าชอบชีวิตของจ๋า แม้ไม่ได้มีความสุขมาก แต่ไม่ได้เป็นปัญหา ทุกข์ที่ผ่านมา มันคือของขวัญ ทำให้จ๋าเป็นจ๋าในวันนี้ ขอบคุณทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต” คำตอบนั้น ทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมเพจ “เกษียณให้เด็กมันดู” ถึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน
ก่อนจากกัน จ๋าทิ้งท้ายว่า “ทุกคนมีความทุกข์ในแบบของตัวเอง ถ้าเผชิญอยู่อย่าหนีมัน ให้มองว่าความทุกข์คือครู ที่จะทำให้เราเติบโต อะไรเกิดขึ้นก็ยอมรับก่อน แล้วค่อยหาทางอยู่กับมันให้ได้ ถ้าแก้ไม่ได้ ก็เรียนรู้จากมัน สักวันความทุกข์จะจางหายไป และเราจะมีความสุขในแบบของเราเอง”
เพจ “เกษียณให้เด็กมันดู” จึงไม่ใช่เพียงพื้นที่แบ่งปันเรื่องราวของชีวิตหลังเกษียณ แต่เป็นกระจกสะท้อน “ความงดงามของการยอมรับความจริง” เรื่องราวของคุณปฏิมา จำปาสุต หญิงแกร่งที่ใช้ชีวิตด้วยหัวใจ และถ่ายทอดความงามนั้นให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้
หมายเหตุ
[1] ขอขอบคุณ คุณณัฏฐยา เพ็ญภาคกุล เพื่อนร่วมรุ่นสาธิตจุฬาฯ ที่ประสานงานให้ผมได้สัมภาษณ์คุณปฏิมา จำปาสุต เพื่อนำมาเขียน Weekly Mail ฉบับนี้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา