
"...การยื่นเรื่องของ สว.ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ ครม.ต้องสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 หรือไม่ โดย สว.ส่วนใหญ่ซึ่งน่าจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลรักษาการ อาจอ้างความไม่ซื่อสัตย์สุจริตของ ครม.จากการนำความขึ้นกราบบังคมทูลยุบสภา ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ยื่นเรื่องผ่านประธานวุฒิสภาไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว แต่กรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะไม่รับไว้พิจารณา เนื่องจาก ครม.ทั้งคณะได้พ้นหน้าที่ไปแล้วตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ในขณะนี้มีสถานะเป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเพื่อรอ ครม.ชุดใหม่เข้าทำหน้าที่เท่านั้น จึงไม่มีเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของ ครม.หรือรัฐมนตรีคนใดอีก..."
การยุบสภาผู้แทนราษฎร เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ จากการกราบบังคมทูลให้ทรงตราเป็นพระราชกฤษฎีกา (พรฎ.) ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 103
แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจน ว่าการกราบบังคมทูลร่าง พรฎ.ในเรื่องนี้ เป็นอำนาจหรือหน้าที่ของใคร ซึ่งหากเป็น พรฎ.เรื่องอื่น ๆ ก็จะเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรฝ่ายบริหารคือ คณะรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กราบบังคมทูล โดย พรฎ.ยุบสภา ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีตัวจริงเท่านั้นจะเป็นผู้กราบบังคมทูล และรับสนองพระบรมราชโองการ ยังไม่เคยมีการกราบบังคมทูลโดยผู้ปฏิบัติหน้าที่หรือรักษาการนายกรัฐมนตรีมาก่อน
อาจารย์ด้านกฎหมายมหาชนชื่อดัง เช่น ศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่าการกราบบังคมทูลยุบสภา ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีสามารถทำได้ และยังมีความเห็นอีกว่าไม่จำเป็นต้องเป็นอำนาจหรือหน้าที่ขององค์กรฝ่ายบริหารแต่เพียงองค์กรเดียว องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติเอง ได้แก่ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็สามารถกราบบังคมทูลเพื่อยุบสภาที่ตนเป็นประธานได้ หากเห็นว่าเกิดความวุ่นวายจนกระทั่งสภาไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างปกติ เช่นเดียวกับศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ เครืองาม เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า รักษาการนายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจยุบสภาได้ ในขณะที่ปรมาจารย์ด้านกฎหมายมหาชน เช่น ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เห็นว่า ตามประเพณีการปกครองรัฐบาลรักษาการไม่อาจยุบสภาได้ ซึ่งไปทางเดียวกับนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าทำไม่ได้โดยยกตัวอย่างการยุบสภาของต่างประเทศ และยังมีนักวิชาการด้านกฎหมายอีกหลายคน เห็นว่าผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจกราบบังคมทูลเพื่อยุบสภาได้ เพราะเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีตัวจริงเท่านั้น ซึ่งความเห็นของนักกฎหมายส่วนหนึ่งได้นำเอาเอาเรื่องอำนาจการกราบบังคมทูลกับเรื่องเหตุผลในการกราบบังคมทูลมาอธิบายรวมกัน ทั้งที่ปัญหาที่กำลังถกเถียงกันคืออำนาจการกราบบังคมทูลเท่านั้น
หลังจากนางสาวแพทองธารหลุดจากตำแหน่งไปแล้ว ครม.ที่ทำหน้าที่ต่อไปจนกว่า ครม.ชุดใหม่จะเข้าทำหน้าที่ มีเพียงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ในขณะนี้ซึ่งเหตุการณ์ทางการเมืองเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่มีการแย่งชิงกันจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หาก ครม.ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในปัจจุบัน เห็นว่าฝ่ายตนกำลังจะเพลี่ยงพล้ำไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่เพื่อรักษาอำนาจของตนเองไว้ได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎร เพียงแต่นายภูมิธรรมกล้าที่จะนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระราชวินิจฉัยเพื่อทรงใช้พระราชอำนาจยุบสภาหรือไม่ ในขณะที่มีความเห็นแตกต่างกันเป็น 2 ฝ่ายเช่นนี้ เป็นเรื่องที่สังคมกำลังจับตามอง
ถ้าหากนายภูมิธรรมกราบบังคมทูลยุบสภาแล้วไม่ได้รับการโปรดเกล้า เรื่องนี้ก็จะเป็นที่รับทราบกันในวงจำกัด และมีโอกาสน้อยที่จะมีผู้ยื่นร้องเรียนเอาผิดกับรัฐบาล แต่ถ้าทรงโปรดเกล้าพระราชกฤษฎีกาลงมา ก็จะเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปจากการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และเมื่อสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบลง แน่นอนว่าจะมีฝ่ายที่เสียประโยชน์ หรือนักร้องทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น ยื่นคำร้องไปยังองค์กรอิสระต่าง ๆ เช่น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อที่จะให้ไปถึงองค์กรตุลาการ เช่น ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญ ตามที่แต่ละคนเห็นว่าองค์กรใดจะมีอำนาจพิจารณาเรื่องนี้

@ ภูมิธรรม เวชยชัย
ใครจะเป็นผู้มีสิทธิยื่นคำร้อง โดยจะยื่นต่อองค์กรอิสระใดหรือศาลใด ด้วยข้อกล่าวหาอะไร ซึ่งแต่ละองค์กรจะมีอำนาจรับไว้พิจารณาได้เพียงใด ลองไล่เรียงกันดู
การยื่นเรื่องของประชาชนผ่านคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไปยังศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประชาชนทั่วไปมีสิทธิแจ้งเบาะแสหรือยื่นข้อกล่าวหาต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ และเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะให้ความคุ้มครองผู้แจ้ง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63 โดยกล่าวหาว่ามีการจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย อันเป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่จะไต่สวน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 วรรคหนึ่ง (1) แต่หากการกราบบังคมทูลยุบสภาของนายภูมิธรรมเป็นการกระทำในฐานะตัวแทน ครม. คณะกรรมการ ป.ป.ช.อาจไม่รับไว้พิจารณาโดยอ้างว่า ครม.มีฐานะเป็นองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารในความสัมพันธ์กับรัฐสภา มิใช่เป็นการกระทำเฉพาะตัวของนายภูมิธรรมซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 วรรคหนึ่ง (1) และ พรป.ปปช.มาตรา 28 วรรคหนึ่ง (1) ที่บัญญัติไว้เช่นเดียวกัน ทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่อาจเสนอเรื่องไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณามาตรฐานทางจริยธรรม หรือเสนอเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อพิจารณาความรับผิดทางอาญาได้ โดยเป็นหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาที่จะอภิปรายในสภา หรือ สส.จะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี หรือ ครม.ทั้งคณะในสภาผู้แทนราษฎร แต่เมื่อสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบไปแล้ว การอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงไม่เกิดขึ้น
การยื่นเรื่องของประชาชนผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินไปยังศาลปกครอง หรือยื่นฟ้องโดยตรงต่อศาลปกครอง ประชาชนทั่วไปมีสิทธิยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้ โดยหน้าที่และอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากที่สุด น่าจะเป็นกรณีขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลปกครองเพื่อพิจารณาการกระทำของหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (2) ซึ่งแม้ศาลปกครองสูงสุดจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา แต่การกราบบังคมทูลเพื่อตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาเป็นการกระทำทางรัฐบาล มิใช่การกระทำในฐานะฝ่ายปกครองหรือการกระทำทางปกครองที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง จึงไม่ใช่หน้าที่และอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (2) ที่จะรับไว้พิจารณาได้ รวมประชาชนจะยื่นฟ้องโดยตรงต่อศาลปกครองไม่ได้เช่นกัน
การยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยหน้าที่และอำนาจของผู้นำความขึ้นกราบบังคมทูลยุบสภา รัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) และ พรป.ว่าด้วยวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 7 (2) บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และองค์กรอิสระ และ พรป.เดียวกัน มาตรา 44 ระบุว่า กรณีตาม มาตรา 7 (2) ต้องเป็นปัญหาซึ่งเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจที่เกิดขึ้นแล้ว โดยเกิดขึ้นกับหน่วยงานใดให้หน่วยงานนั้นเป็นผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัย ดังนั้น การยุบสภาจะเข้าลักษณะตามมาตรา 44 คือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ต่อเมื่อสภาถูกยุบไปแล้ว และมีข้อสงสัยว่าผู้นำความขึ้นกราบบังคมทูลเป็นผู้ที่มีหน้าที่หรืออำนาจหรือไม่ และมาตราเดียวกันก็ให้หน่วยงานที่เกิดปัญหาเป็นผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัย แต่หน่วยงานที่เกิดปัญหาคือสภาผู้แทนราษฎร ได้ถูกยุบไปแล้วโดยเด็ดขาด ไม่มีการปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนเพื่อรอสภาชุดใหม่ จึงไม่มีหน่วยงานที่มีสิทธิยื่นขอต่อศาลรัฐธรรมนูญ
การยื่นเรื่องของ สว.ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ ครม.ต้องสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 หรือไม่ โดย สว.ส่วนใหญ่ซึ่งน่าจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลรักษาการ อาจอ้างความไม่ซื่อสัตย์สุจริตของ ครม.จากการนำความขึ้นกราบบังคมทูลยุบสภา ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ยื่นเรื่องผ่านประธานวุฒิสภาไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว แต่กรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะไม่รับไว้พิจารณา เนื่องจาก ครม.ทั้งคณะได้พ้นหน้าที่ไปแล้วตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ในขณะนี้มีสถานะเป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเพื่อรอ ครม.ชุดใหม่เข้าทำหน้าที่เท่านั้น จึงไม่มีเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของ ครม.หรือรัฐมนตรีคนใดอีก
จึงดูเหมือนจะไม่มีช่องทางเอาผิดกับผู้นำความขึ้นกราบบังคมทูลยุบสภาได้เลย
ดังนั้น หากมีการกราบบังคมทูล ผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลรักษาการและประชาชนทั่วไป ทำได้แต่เพียงรอดูประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่าจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้ายุบสภาหรือไม่ เท่านั้น

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา