
"...การหงายไพ่นั้นเอง คือความพร้อมยอมตามต่อปรารถนาของฮุนเซน อย่างไร้ศักดิ์สิ้นศรีแห่งความเป็นผู้นำ ผู้นำที่สามารถต้องถือไพ่ไว้ในมือ จะเป็นไพ่ตัวสำคัญหรือไม่ก็ต้องกบไต๋ให้อีกฝ่ายยำเกรง พลังของการต่อรองที่เป็นจริง ไม่ได้เกิดจากการยอมอ่อนข้อไปทุกอย่าง..."
เอกสารคำชี้แจง ของ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร ต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคลิพฮุนเซน - แพทองธาร ที่ส่งศาลรัฐธรรมนูญล่าสุด
มีเนื้อหาใจความสำคัญ ยืนยันว่า
“การกระทำของตนเองตามข้อกล่าวหาของผู้ร้อง ไม่เป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 แต่อย่างใด อีกทั้งการกระทำของตนเองก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิและตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในความสุจริตและเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งแต่ประการใด”
และว่า
“การใช้ถ้อยคำว่า อยากได้อะไรก็ขอให้บอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้ เป็นเพียงเจตนาต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญคือการตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest - Based) ไม่มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด”

ส่วนประเด็นที่กล่าวถึง แม่ทัพภาค 2 (พลโทบุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม” นั้น ดังที่ข้าพเจ้าได้ชี้แจงข้างต้นว่า นายฮวด คนสนิทของสมเด็จฮุน เซน พยายามอธิบายมูลเหตุของการที่สมเด็จ ฮุน เซน สั่งการให้มีการปิดด่านชายแดนของฝ่ายกัมพูชา เนื่องมาจากความไม่พอใจของสมเด็จฮุน เซน ที่มีต่อ แม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) เป็นการเฉพาะเจาะจง ข้าพเจ้าจึงจําต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่ แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตําหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใดแต่เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชาในเชิงสร้างความเข้าใจว่าฝ่ายบริหารของไทยมีเจตนาที่จะรักษาสันติและไม่ได้เป็นการโอนอ่อนหรือเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหากแต่เป็นการดำเนินนโยบายโดยอาศัยหลักทางการทูตเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศและป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม”
คำพูดของ น.ส. แพทองธาร ในคลิพ ตามช่วงเวลาเป็นดังนี้
00 : 00.58 “ไม่อยากให้ Uncle ไปฟังคนที่เป็นฝ่ายฝั่งตรงข้ามกับเรา เพราะว่าพอไปฟังฝั่งตรงข้ามอย่างพวกแม่ทัพภาค 2 เงี้ยค่ะ เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ซึ่งพอไปฟังฝั่งนั้นเสร็จ ก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจหรือโกรธ เพราะจริงๆ แล้ว ไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลยค่ะ”
00 : 01.35 “เพราะตอนเนี้ย ทางนั้นน่ะ เขาอยากจะดูเท่ เขาก็จะพูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติค่ะ”
00 : 02.06 “บอกว่าให้ท่านฮุนเซน เห็นใจหลานหน่อย เพราะตอนนี้ คนในประเทศไทยอ่ะ เขาไล่เราไปเป็นนายกที่เขมรหมดแล้ว”
00 : 02.30 “บอกว่า เอ่อจริงๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไรก็ขอให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะดู เอ่อ จัดการให้”
00 : 05.16 “คือตอนเนี้ยอะค่ะ คือตอนนี้พี่ฮวด คือรัฐบาลโดนโจมตีหนักมากนะ”

ในคลิปนี้
ต่อแม่ทัพภาค 2 มีถึง 4 ที่ด้วยกัน ที่พูดย้ำแล้วย้ำอีก ว่า
1. “อย่าไปฟังฝั่งตรงกันข้าม”
2. พวกแม่ทัพภาค 2 “เป็นคนของฝ่ายตรงกันข้ามหมดเลย”
3. “เขาอยากดูเท่”
4. “เขาจะพูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ”
คำพูดแบบนี้ ละหรือ ที่อธิบายว่า “เป็นเทคนิคการเจรจา ที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคลไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบ”
การพูดย้ำ พูดซ้ำ คือการยืนยันในความเป็นคนละฝั่ง คนละพวก แสดงความเป็นอริ อย่างให้อภัยไม่ได้ จะแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น
มันคือการด้อยค่า และหยามหมิ่น กองทัพภาค 2 ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาตนเอง
คนที่ด่าลูกน้องให้คู่อริฟังเช่นนี้ ยังมีหน้ามาแก้ตัวว่า “เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชาในเชิงสร้างความเข้าใจว่าฝ่ายบริหารของไทย มีเจตนาที่จะรักษาสันติ และไม่ได้ เป็นการโอนอ่อน หรือเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
เป็นผู้นำประเทศแบบไหนที่ผลักผู้ใต้บังคับบัญชาให้เป็น “ฝ่ายตรงกันข้าม”
ส่วนประเด็น “อยากได้อะไรให้บอกมา จะจัดการให้” นี่คือการหงายไพ่ ให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าต้องการอะไร ก็พร้อมจัดการให้
การอ้างว่า “ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน เป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์(Principled Negotiation) เป็นการตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest - Based) ไม่มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด”
คำถามคือ เมื่อพูดไปเช่นนั้นแล้ว ฮุนเซนบอกความต้องการอะไร ที่เป็นประโยชน์ไหม นอกจากการขอให้เปิดด่าน ซึ่งเป็นเรื่องแน่นอนและรู้อยู่แล้วว่าการเปิดด่าน คือช่องทางทำมาหากินของฝ่ายเขาที่ทำมายาวนานแล้ว
ตรงกันข้าม ผู้นำที่เก่ง จะสามารถพูดเชิงรุก ต่ออีกฝ่ายได้ เช่น “ปัญหาทุ่นระเบิดท่านจัดการอย่างไร” “อย่ามายิงใส่โรงพยาบาล” “อย่ามายิงใส่ชาวบ้าน” “คูเลตที่ขุดไว้ควรถมดินให้เหมือนเดิม” นี่คือเทคนิคการเจรจาอย่างมีเงื่อนไข (Conditional Sentence) ไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง
จำเป็นอะไรต้องไปแบไต๋ว่าพร้อมจะจัดการให้ ในสิ่งที่บอกมา
การหงายไพ่นั้นเอง คือความพร้อมยอมตามต่อปรารถนาของฮุนเซน อย่างไร้ศักดิ์สิ้นศรีแห่งความเป็นผู้นำ ผู้นำที่สามารถต้องถือไพ่ไว้ในมือ จะเป็นไพ่ตัวสำคัญหรือไม่ก็ต้องกบไต๋ให้อีกฝ่ายยำเกรง พลังของการต่อรองที่เป็นจริง ไม่ได้เกิดจากการยอมอ่อนข้อไปทุกอย่าง
ขอถามต่อว่า การเจรจาทางโทรศัพท์ครั้งนี้ เป็นความลับระหว่างสองคนใช่หรือไม่ เป็นความบังเอิญที่ฮุนเซนปล่อยออกมาอย่างไม่คาดคิด
หากคลิปไม่หลุดออกมา ลุงกับหลานหรืออาจรวมพ่อกับลูก ทั้ง 2 ฝั่งรวม 4 คน จะไปปู้ยี่ปู้ยำลับตาคนไทยกันอย่างไร ใครจะตรวจสอบได้
แล้วที่พ่อพูดอย่างเปิดเผยว่าให้ลากเส้นที่เกาะกูด ฝั่งละเส้นทับกันตรงไหนก็ให้ “แบ่งฝ่ายละ 50” นั้น มันคือประโยชน์ใครที่จับจ้องตาเป็นมัน เมื่อคลิปหลุด จึงฝันสลาย ถ้าคลิพไม่หลุด อะไรจะเกิดกับอธิปไตยของชาติ ทรัพยากรใต้ทะเลและบูรณภาพแห่งดินแดนที่บรรพบุรุษไทยสร้างสมไว้ให้เป็นสมบัติของลูกหลานจนทุกวันนี้
ชะรอยพระสยามเทวาธิราช และแม่พระธรณีแสดงอานุภาพให้คลิปอัปยศปรากฏต่อหน้าประชาชนกระมัง แผนชั่วร้ายของสองตระกูลจึงเดินต่อไม่ได้ กลายเป็นเหตุให้ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งยาวนานหักสะบั้นแบบ “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ”
คลิปที่หลุดออกมานั้น
1. ทำให้เข้าใจไปได้ว่า รัฐบาลถือว่ากองทัพเป็นฝ่ายตรงกันข้าม
2. ทำให้กองทัพไทย ไม่อาจไว้วางใจรัฐบาลได้
3. ทำให้ประชาชนพร้อมจิตพร้อมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน สนับสนุนบทบาทของกองทัพ
4. ทำให้ความขัดแย้งชายแดนปะทุ ทหารและประชาชนล้มตาย บาดเจ็บ และต้องย้ายถิ่นไปอยู่ในที่ปลอดภัยนับแสนคน
5. ทำให้คนเป็นนายกรัฐมนตรีถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ และกำลังจะมีคำวินิจฉัยชะตากรรมขั้นต่อไป
6. ทำให้ ประชาชนทั้งประเทศ สิ้นความไว้วางใจต่อรัฐบาล ว่า จะสามารถรักษาเอกราชและอธิปไตยของไทยไว้ได้

ความเสียหายที่เกิดจากความไม่ซื่อสัตย์สุจริต ละเมิดต่อจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป็นความเสียหายที่เพียงพอหรือยัง ที่จะโต้แย้ง คำชี้แจงในเอกสารแพทองธาร ที่ว่า “การเจรจากับสมเด็จ ฮุนเซน ก็มิได้ทำให้ประเทศต้องเสียผลประโยชน์ใดๆ การปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าก็เป็นไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตลอดมา”
เจตนาที่แท้จริงของแพทองธาร จะเป็นประการใด อาจมีการถกเถียงกันต่อไป แต่หายนะภัยที่เกิดขึ้นไม่เข้าข้างใคร
แพทองธารจะเข้าใจหรือไม่ว่า กฎหมายมีหลักการสากลที่ยอมรับกันทั่วโลกว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” (Acta exteriora indicant interiora Secreta) คือหลักที่เราไม่สามารถล่วงรู้เจตนาที่อยู่ในใจของบุคคลได้โดยตรง ดังนั้นการกระทำภายนอก (กรรม) จะเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่สุด ในการบ่งชี้ถึงเจตนาที่แท้จริงของผู้นั้น
อนึ่ง ในข้อ 2.6 น.ส. แพทองธาร ชินวัตร ผู้ถูกร้องอ้างว่า
“บันทึกเสียง หรือการสนทนา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยปราศจากความยินยอมของคู่สนทนา ซึ่งเป็นการได้มาซึ่งข้อมูลโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและหลักนิติธรรม.....”
และในข้อ 2.7 อ้างว่า สมาชิกวุฒิสภา ผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญซึ่ง “ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกวุฒิสภาที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบของ กกต. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ” ว่า ได้ตำแหน่งมาโดย ชอบหรือไม่
ในขณะที่ผู้ถูกร้อง ยอมรับอย่างเปิดเผยว่าทั้งตัวตนและข้อความตามบันทึกเสียงนั้นเป็นของของจริง ก็แปลว่า เสียงพูดและเนื้อหาทั้งหมดเป็นตัวจริงเสียงจริง แล้วจะมาเรียกร้องการตรวจสอบอะไรอีก
ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาจากเนื้อหาและเสียงที่เป็นจริงเป็นหลัก หรือจะพิจารณาว่าใครเป็นผู้ร้อง หรือจะพิจารณาจากบันทึกเสียงว่ามาจากไหน
ข้อความในคลิปเสียงที่ถอดออกมานี้ เห็นได้ว่า น.ส. แพทองธาร ชินวัตร แอบเจรจาลับกับฮุนเซน ด้วยมันสมองที่ว่างเปล่า มีท่วงทำนองอ้อนวอน ร้องขอ เปิดเผยอย่างหมดเปลือกที่สะท้อนถึงความอ่อนแอและชะตากรรมของตนเอง ขาดสำนึกในศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของความ เป็นผู้นำประเทศ และสำนึกแห่งความหวงแหนในแผ่นดินถิ่นเกิด โดยไม่ใส่ใจต่อการเจรจาเพื่อผลประโยชน์ของชาติตามที่กล่าวอ้าง
อย่าเรียกว่าเป็น “เทคนิคการเจรจา” เลย
ควรเรียกว่า “เทคนิคการยอมจำนน” จะสอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่า

หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก infoquest.co.th

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา