
"...3. ทำให้สังคมตระหนักรู้ว่าพฤติกรรมคอร์รัปชันเช่นใดกำลังเป็นภัยร้ายแรง หรือแพร่ระบาด จนไม่สามารถหยุดยั้งได้ด้วยกลไกตามกฎหมายปรกติได้ จำต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนมากขึ้น เช่น การสำรวจข้อมูลอาคารราชการที่ทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จมูลค่านับแสนล้านบาท..."
มีผลงานหลายอย่างที่ ป.ป.ช. ทำไปแล้วแต่ดูเหมือนไม่เกิดประโยชน์อะไร เช่น จัดทำมาตรการป้องกันคอร์รัปชันเสนอให้ ครม. พิจารณาตั้งแต่ปี 2557 – 2567 รวม 93 เรื่อง โดยหวังว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำไปแก้ไขร่วมกัน เช่น แปะเจี๊ยะ โกงนมโรงเรียน ส่วยทางหลวง ทุจริตยา สินบนแรงงานข้ามชาติ สินบนใบอนุญาตก่อสร้าง การรุกล้ำลำน้ำและที่ดินสาธารณะ เป็นต้น
กลายเป็นว่าที่ประชุม ครม. มีเพียงมติ “รับทราบ” แล้วแจ้งหน่วยราชการทั่วไปเช่นปรกติ ดังนั้น ด้วยความไม่ใส่ใจของรัฐมนตรีและระบบตัวใครตัวมันของราชการไทย ทำให้มาตรการที่ศึกษามาดีแล้วเหล่านี้แทบไม่มีผลบังคับให้ใครต้องปฏิบัติตาม ซ้ำมองเป็นเรื่องยุ่งยาก เสียอำนาจ เสียผลประโยชน์ ผู้นำหน่วยงานรัฐส่วนใหญ่จึงนิ่งเฉยไม่นำพา ไม่ติดตามเรื่อง ใครจะทำหรือไม่ก็ได้ ไม่รายงานผลต่อต้นสังกัดหรือรัฐมนตรีก็ได้
ไม่แปลกใจใช่ไหม... ว่าทำไมประเทศไทยจึงจัดการปัญหาคอร์รัปชันไม่ได้เสียที
มีบางเรื่องที่ ป.ป.ช. ผลักดันเองทำให้ “หยุดปัญหาได้ก่อนเหตุการณ์ลุกลามหรือเกิดความเสียหายขั้นวิกฤต” เช่น ออกหนังสือเตือน จี้ให้ทบทวนหรือให้ชี้แจงรายละเอียด ให้ความรู้แก่สื่อและสังคมได้เข้าใจว่าความจริงคืออะไร หลักสากลเป็นอย่างไร อย่างเช่นกรณีจำนำข้าว การแจกเงินดิจิทอล เป็นต้น
มาตรการเหล่านี้คือ “การป้องกันคอร์รัปชันเชิงรุก” (Proactive Corruption Prevention) ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพฤติกรรมคอร์รัปชันที่ดำรงอยู่ โดยมีลักษณะสำคัญคือ
1. ทำให้คนไม่กล้าทำผิด
เช่น มีกลไกบังคับเปิดเผยข้อมูลให้มากโดยไม่อ้างโน่นนี่มาปฏิเสธ ทำให้คนรู้เห็นเยอะ มีบันทึก/หลักฐานมัดตัวพร้อมเอาผิดย้อนหลังได้ไม่ยาก หากใครพบข้อพิรุธแล้วร้องเรียนเปิดโปงจะได้รางวัลก้อนโต แม้คนที่สมรู้ร่วมคิดหรือจ่ายสินบนไปแล้วหากภายหลังมาแฉก็ถือว่าพ้นผิด
2. ทำโดยไม่ต้องรอให้มีใครร้องเรียนหรือร้องขอ
เช่น ศูนย์ CDC ของ ป.ป.ช. ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของเทศบาล ทันทีเมื่อเห็นข่าวชวนสงสัยบนโลกโซเชียล
3. ทำให้สังคมตระหนักรู้ว่าพฤติกรรมคอร์รัปชันเช่นใดกำลังเป็นภัยร้ายแรง หรือแพร่ระบาด จนไม่สามารถหยุดยั้งได้ด้วยกลไกตามกฎหมายปรกติได้ จำต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนมากขึ้น เช่น การสำรวจข้อมูลอาคารราชการที่ทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จมูลค่านับแสนล้านบาท
4. ทำให้แก้ปัญหาคอร์รัปชันได้รวดเร็วขึ้น หรือทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง
เช่น กรณีรัฐอนุมัติงบบูรณาการแก้ปัญหาคอร์รัปชันก้อนหนึ่งให้กรมทางหลวง นำไปซื้อเครื่องชั่งน้ำหนักเคลื่อนที่สำหรับชั่งรถบรรทุกที่วิ่งในเมืองหรือใกล้พื้นที่ก่อสร้างขนาดใหญ่
มาตรการเชิงรุกจึงจำเป็นและต้องทำให้มากขึ้นในยุคที่เขาโกงกันซึ่งๆ หน้า เยี่ยงทุกวันนี้
ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานภาครัฐและประชาชนที่มีส่วนผลักดันแก้ปัญหาคอร์รัปชัน แต่การใช้มาตรการป้องกันเชิงรุกเห็นมีเพียง ป.ป.ช. เท่านั้น โดยผลงานล่าสุดคือออกกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti - SLAPP Law) ควบคู่กับการให้สินบนรางวัลนำจับแก่ทุกคนที่แจ้งเบาะแสคอร์รัปชัน
“การต่อสู้เอาชนะคอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน” สิ่งหนึ่งที่ต้องทำคือ ทักท้วงและทวงถามรัฐบาลและผู้นำภาครัฐที่ถือกฎหมายในมือ ดึงให้พวกเขาหันมารับผิดชอบบ้านเมืองให้มากกว่าเป็นอยู่ครับ
มานะ นิมิตรมงคล
ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา