
"...ทั้งนี้ ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ ทำให้เรารู้จักระบบทางเดินอาหารมากขึ้น ได้รับรู้ว่าเส้นประสาทที่ติดอยู่กับท่อลำไส้มีจำนวนมากกว่าอวัยวะอื่น ๆ และต่อสายตรงไปยังสมอง ผมคิดว่าสมองสั่งให้ลำไส้ทำงาน แต่ในความเป็นจริง ลำไส้กลับเป็นนายของสมอง มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของมนุษย์ เช่นความเครียดและความวิตกกังวล นอกจากนั้น ลำไส้ยังเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียไว้คอยย่อยอาหาร พร้อมดูดซึมสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ดังนั้น ลำไส้จึงไม่เพียงแต่เป็นอวัยวะที่มาอาศัยขดไปมาอยู่ในท้องและปล่อย “ลม” ออกมาเท่านั้น..."
เมื่อถึงเทศกาลตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจเลือด เอกซเรย์ปอด วัดการเต้นของหัวใจ ผมจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน มโนไปไกลใจเต้นระทึก พอถึงโต๊ะลงทะเบียนค่าความดันจะพุ่งสูงขึ้นทุกครั้ง จนพยาบาลเป็นห่วง ต้องตอบด้วยเสียงเบา ๆ กลัวคนอื่นได้ยินว่า “ไม่ได้เป็นอะไร ตื่นเต้นนิดหน่อย” และผลเลือดออกมาทุกปี ไม่เคยผิดหวัง เพราะพบไขมันในเลือดสูง แถมไขมันพอกตับ ทำให้ต้องทานยาลดไขมัน ไปจนถึงอัลตราซาวด์ช่องท้องทุกปี การตรวจสุขภาพประจำปีถือเป็นเรื่องจิ๊บ ๆ แต่ที่ตื่นเต้นกว่าการนั่งรถไฟเหาะคือคุณหมอขอส่องกล้องดูลำไส้และกระเพาะ เรียกว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปหลายวัน
แม้ผลการตรวจออกมาดี และล่าสุดไม่มีไขมันพอกตับแล้ว แต่ผมได้รับรู้ว่า ลำไส้เป็นอวัยวะที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหัวใจและสมอง และเมื่อผมได้อ่านหนังสือ “เคล็ดลับ อายุยืนจากลำไส้” (GUT) เขียนโดยจูเลีย แอนเดอร์ส (Giulia Enders) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหาร ยิ่งทำให้ผมทึ่งและอัศจรรย์ใจไปกับลำไส้และระบบทางเดินอาหาร เพราะกลไกการทำงานถูกค้นคิดเป็นอย่างดี รอบคอบในทุกกระบวนท่านำอาหารที่เราทานเข้าไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน บำรุงรักษาอวัยวะสำคัญของร่างกายในทุกวัน ซึ่งขั้นตอนไม่ได้ง่ายเหมือนกับการเติมน้ำมันรถแล้วสตาร์ทรถออกจากปั๊ม
ทั้งนี้ ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ ทำให้เรารู้จักระบบทางเดินอาหารมากขึ้น ได้รับรู้ว่าเส้นประสาทที่ติดอยู่กับท่อลำไส้มีจำนวนมากกว่าอวัยวะอื่น ๆ และต่อสายตรงไปยังสมอง ผมคิดว่าสมองสั่งให้ลำไส้ทำงาน แต่ในความเป็นจริง ลำไส้กลับเป็นนายของสมอง มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของมนุษย์ เช่นความเครียดและความวิตกกังวล นอกจากนั้น ลำไส้ยังเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียไว้คอยย่อยอาหาร พร้อมดูดซึมสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ดังนั้น ลำไส้จึงไม่เพียงแต่เป็นอวัยวะที่มาอาศัยขดไปมาอยู่ในท้องและปล่อย “ลม” ออกมาเท่านั้น [1]
คุณหมอแอนเดอร์สพาพวกเราไปรู้จักระบบทางเดินอาหาร ด้วยการให้หลับตาคิดถึงก้อนเค้กที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งอวัยวะแรกที่จะสัมผัสเค้กก้อนนั้นคือ ตา ที่อนุภาคของแสงที่สะท้อนจากเค้กไปกระทบเส้นประสาทตาที่ส่งแสงไปยังสมอง เพื่อให้กลายเป็นภาพปรากฏต่อหน้าเรา ต่อจากตามาถึงระบบควบคุมการหลั่งน้ำลาย ที่ส่งให้น้ำลายสอเต็มปาก แต่ถึงตรงนี้ เราอาจยังพอยับยั้งชั่งใจไม่ทานเค้กชิ้นนั้น ตัวเจ้าเล่ห์คงจะหนีไม่พ้นจมูก คอยรับกลิ่นหอมของเค้ก จมูกมีความสามารถจดจำกลิ่นนี้ได้ พร้อมบอกสมองอย่างภาคภูมิใจว่า “หอมหวน ทานเถอะ”
ในที่สุดเราจะใจอ่อน ใช้ช้อนตักเค้กเข้าปากที่อ้ากว้างรอคอยอยู่ ปากเป็นที่รวบรวมทุกสิ่ง (ไม่นับรวมเสียงที่ถูกเปล่งออกมา) ตั้งแต่ ฟัน กล้ามเนื้อขากรรไกร ตลอดจนลิ้น ช่วยกันทำงานเป็นทีม โดยฟันและขากรรไกรมีแรงมากกว่านักฟุตบอลทั้งทีมมากระโดดขย่มขึ้น ๆ ลง ๆ คอยเคี้ยวขยี้เนื้อเค้กให้เป็นเศษ มีลิ้นคอยรับรู้รสชาติ ช่วยคลุกเคล้าและรวบรวมเศษเค้กที่หลบซ่อนมารวมกันไว้ และเมื่อมีปริมาณมากพอ มันก็พร้อมถูกกลืนเข้าสู่คอหอย ก่อนไปหลอดอาหาร ใช้เวลา 5-10 วินาทีจึงถึงจุดนี้ [2]
หลอดอาหารถือว่าไม่ธรรมดา มีระบบวาล์วเปิดปิด เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเค้กไหลกลับขึ้นไป จากนั้น เจ้าเค้กจะเดินทางไปตามเส้นทางคดเคี้ยว หดตัวเป็นช่วง ๆ ถึงปลายทางที่เป็นหูรูด ก่อนกดสัญญาณให้เปิดลงไปสู่กระเพาะอาหาร ซึ่งจะคลายตัวรอรับอย่างเริงร่าเป็นเวลา 8 วินาที ถือเป็นการจบการแสดงในฉากโหมโรง
การแสดงจริงเปิดฉากขึ้นเมื่ออาหารถูกส่งมาถึงกระเพาะอาหาร ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องซักผ้า ปั่นเหวี่ยงเนื้อเค้กไปมาจนกลายเป็นอนุภาคเล็ก ๆ ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กกว่า 2 มิลลิเมตร สามารถเล็ดลอดไปถึงปลายอีกด้านหนึ่งของกระเพาะอาหาร มีหูรูดคอยทำหน้าที่เหมือนยามเฝ้าประตู คอยดูแลทางเข้าสู่ลำไส้เล็ก แน่นอนว่าอาหารที่ย่อยง่ายอย่างเค้ก กระเพาะอาหารสามารถบดขยี้ให้เป็นอนุภาคเล็กได้เร็วกว่าโปรตีนและไขมัน ในขณะที่สเต๊กชิ้นหนึ่งอาจถูกปั่นเหวี่ยงเป็นเวลาถึง 6 ชั่วโมง ก่อนเข้าไปในลำไส้เล็ก
เมื่อเค้กถูกขยี้เป็นชิ้นจิ๋วลงมาถึงลำไส้เล็กแล้ว ตอนนี้ล่ะ ลำไส้เล็ก พระเอกของเรื่องจึงได้เวลาแสดง มันมีลักษณะมันวาว พื้นผิวสีชมพูแฉะ ๆ ขดไปมาในช่องท้องเป็นระยะทางถึง 3-4 เมตร ลำไส้เล็ก ถือเป็นส่วนที่ขยันและทำงานหนักที่สุดในระบบย่อยอาหาร พื้นผิวจะมีปุ่มเล็ก ๆ เรียกว่าวิลไล (villi) ช่วยดูดซึมสารอาหารเข้าไปในร่างกาย เนื้อเค้กจะเดินทางไปตามลำไส้เล็กและแทบจะหายเข้าไปในผนังลำไส้ ถูกซึมซับเข้าสู่กระแสเลือดหมด แต่สำหรับของที่ย่อยไม่ได้จะถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่และที่น่ามหัศจรรย์คือ หลังจากลำไส้เล็กทำหน้าที่ย่อยอาหารที่ส่งมาแล้ว จะมีระบบทำความสะอาดตัวเอง ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง
ในที่สุดก็มาถึงฉากสุดท้าย คืออาหารที่ลำไส้เล็กไม่สามารถย่อยได้ อย่างเช่น ลูกเชอร์รี่ที่ใช้แต่งหน้าเค้ก เศษอาหารเหล่านี้จะถูกส่งต่อมายังลำไส้ใหญ่ รายล้อมอยู่รอบนอกลำไส้เล็ก ทำหน้าที่แบบสบาย ๆ ไม่เร่งรีบเหมือนลำไส้เล็ก เป็นบ้านอันเงียบสงบของแบคทีเรีย ตื่นขึ้นมาทำงานวันละ 2-3 ครั้ง ค่อย ๆ ย่อยสารอาหารชุดสุดท้าย และเช่นเดียวกับลำไส้เล็ก สารอาหารทั้งหมดจะส่งไปตรวจสอบที่ตับก่อนเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต
มาถึงตรงนี้ ถือว่าหมดหน้าที่ของลำไส้ใหญ่แล้ว ใยอาหารที่ไม่สามารถย่อยได้ และสิ่งอื่น ๆ ที่ร่างกายต้องการกำจัด ก็พร้อมเข้าสู่กระบวนการขับถ่ายออกจากร่างกายต่อไป ทั้งนี้ การเดินทางของเค้กตั้งแต่เข้าปากไปถึงห้องสุขาใช้เวลาประมาณ 1 วัน แต่ถ้าลำไส้บีบตัวเร็วอาจจะใช้เวลาเดินทาง 8 ชั่วโมง

เราได้เห็นกลไกระบบทางเดินอาหารที่มีการขบคิดกันมาเป็นอย่างดี แบบว่า AI ยังต้องยอมแพ้ในสัปดาห์หน้า ผมจะเล่าถึงสิ่งที่เราขับถ่ายออกมา หรืออุนจิในภาษาที่รื่นหู พร้อมเรื่องราวของจุลชีพหรือแบคทีเรียดีที่อาศัยอยู่ในลำไส้ และวิธีการดูแลอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารให้ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แหล่งที่มา:
[1] จูเลีย แอนเดอร์ส (Giulia Enders), เคล็ดลับ อายุยืนจากลำไส้ ที่หมอไม่เคยบอกคุณ (GUT), เอกชัย อัศวนฤนาท ผู้แปล, สำนักพิมพ์วีเลิร์น, หน้า 17
[2] จูเลีย แอนเดอร์ส (Giulia Enders), เคล็ดลับ อายุยืนจากลำไส้ ที่หมอไม่เคยบอกคุณ (GUT), เอกชัย อัศวนฤนาทผู้แปล, สำนักพิมพ์วีเลิร์น, หน้า 89-101
หมายเหตุ:
ขอขอบคุณ คุณประภาศรี รงคสุวรรณ แนะนำหนังสือเล่มนี้เพื่อนำมาใช้เขียน Weekly Mail

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา