
"...ในบริบทของประเทศไทยเอง คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี หรือการยุบพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงสูงจากประชาชน ได้ก่อให้เกิดคำถามว่า บทบาทของศาลยังอยู่ในกรอบแห่งหลักนิติธรรมและประชาธิปไตยหรือไม่ หรือกลายเป็นกลไกที่ “ชี้ขาดแทน” เจตจำนงของประชาชนโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบทางการเมืองอย่างแท้จริง..."
ท่ามกลางความผันผวนของโลกทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบตุลาการและหลักนิติธรรมกำลังถูกท้าทายอย่างหนัก หลายประเทศเผชิญ “ภาวะถดถอยของหลักนิติธรรม” (Rule of Law Recession) ซึ่งไม่ได้เกิดจากการฉีกรัฐธรรมนูญอย่างโจ่งแจ้ง หากแต่เกิดจากการใช้กระบวนการทางกฎหมายในลักษณะบิดเบือน ทำให้สิ่งที่ดูชอบธรรมในทางรูปแบบ กลับกลายเป็นการบั่นทอนความชอบธรรมในเนื้อแท้
เวที World Justice Forum 2025 ณ กรุงวอร์ซอว์ ระหว่างวันที่ 23–26 มิถุนายน 2568 สะท้อนปรากฏการณ์นี้อย่างชัดเจน โดยมีการประกาศ “Warsaw Principles” หลักการ 10 ประการ ว่าด้วยการยืนหยัดเพื่อหลักนิติธรรมในยุคที่ประชาธิปไตยเปราะบาง หนึ่งในข้อเสนอสำคัญคือ การที่หลักนิติธรรมและประชาธิปไตยต้องเดินเคียงข้างกัน ไม่อาจใช้หลักหนึ่งเพื่อลิดรอนอีกหลักหนึ่งได้
-อำนาจตุลาการ: ต้อง “เกื้อหนุนและค้ำจุน” ไม่ใช่ “ควบคุมและกำกับ” ประชาธิปไตย
หนึ่งในข้อถกเถียงสำคัญของเวทีโลกคือ บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในหลายประเทศที่มีแนวโน้ม “ควบคุม” หรือ “ชี้นำ” การเมืองภายใต้ชื่อของหลักกฎหมาย ทั้งที่โดยหลักการแล้ว อำนาจตุลาการควรทำหน้าที่ค้ำจุนและปกป้องประชาธิปไตย มิใช่กลายเป็นกลไกที่จัดระเบียบการเมืองแทนประชาชน
Warsaw Principles ได้ชี้ไว้ว่า:
• ตุลาการต้องมีความเป็นอิสระ (Judicial Independence) แต่ต้องไม่กลายเป็นศูนย์กลางของอำนาจที่ไม่มีที่มาจากประชาชน
• ต้องมีความรับผิดชอบต่อสาธารณะ (Accountability) และสามารถอธิบายการใช้ดุลพินิจในคดีสำคัญอย่างโปร่งใส
• ต้องไม่ทำหน้าที่ “ชี้ขาดแทน” การถกเถียงในเวทีรัฐสภาหรือสาธารณะ ซึ่งควรเป็นหัวใจของประชาธิปไตย
ตัวอย่างจากหลายประเทศสะท้อนแนวโน้มที่คล้ายกัน—องค์กรตุลาการ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ถูกนำมาใช้ในการตัดสินประเด็นที่ควรเป็นเรื่องของกระบวนการทางการเมือง เช่น ในโปแลนด์และฮังการี ศาลมีบทบาทในการจำกัดอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติและเอื้อประโยชน์ต่อรัฐบาล ในอิสราเอล ความพยายามจำกัดอำนาจศาลก่อให้เกิดความตึงเครียดในสังคม ส่วนในเอเชีย เช่น เมียนมา หรือบางช่วงในฟิลิปปินส์ ศาลกลายเป็นเครื่องมือรองรับอำนาจนิยมโดยไม่อิงหลักประชาธิปไตย
ในบริบทของประเทศไทยเอง คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี หรือการยุบพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงสูงจากประชาชน ได้ก่อให้เกิดคำถามว่า บทบาทของศาลยังอยู่ในกรอบแห่งหลักนิติธรรมและประชาธิปไตยหรือไม่ หรือกลายเป็นกลไกที่ “ชี้ขาดแทน” เจตจำนงของประชาชนโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบทางการเมืองอย่างแท้จริง
แม้กระบวนการเหล่านี้จะอยู่ภายใต้กฎหมาย แต่หากขาดการอธิบายอย่างโปร่งใส ขาดกลไกตรวจสอบจากสังคม และไม่ได้ยึดโยงกับเจตนารมณ์ของประชาชน ก็อาจทำให้ความไว้วางใจในระบบตุลาการสั่นคลอน และกลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ
-คำถามสำหรับประเทศไทย
แม้ประเทศไทยจะยังไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่มีภาวะถดถอยของหลักนิติธรรมอย่างเด่นชัดในเวทีระหว่างประเทศ แต่คำถามในสังคมไทยเกี่ยวกับบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรที่มีอำนาจวินิจฉัยทางการเมืองยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
กลไกทางกฎหมายบางประการ รวมถึงโครงสร้างรัฐธรรมนูญ อาจเกิดขึ้นจากเจตนาที่ต้องการพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต โดยมุ่งหมายให้ระบบมีเสถียรภาพมากขึ้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจำเป็นต้องตั้งคำถามใหม่ว่า:
• กลไกเหล่านี้ยังตอบสนองต่อหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงหรือไม่?
• มีความโปร่งใสเพียงพอหรือไม่ในการใช้อำนาจตีความที่มีผลต่อโครงสร้างการเมือง?
• ระบบตรวจสอบและที่มาขององค์กรตุลาการ สะท้อนความไว้วางใจจากประชาชนหรือไม่?
หากคำตอบยังไม่ชัดเจน ก็ถึงเวลาทบทวน—ไม่ใช่เพียงกฎหมายในเชิงรูปแบบ แต่ในเชิงหลักการว่าระบบของเราออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างประชาธิปไตย หรือเพื่อควบคุมประชาธิปไตยกันแน่
-หลักนิติธรรมต้องเป็นของประชาชนทุกคน
Warsaw Principles ยังเสนอหลักสำคัญว่า “หลักนิติธรรมที่ยั่งยืน ต้องตั้งอยู่บนวัฒนธรรมทางการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วม และรู้สึกว่าเป็นเจ้าของระบบ” (Public Ownership of the Rule of Law Culture)
ไม่ว่าจะเป็นตุลาการ สื่อมวลชน หรือองค์กรอิสระ ล้วนต้องเชื่อมโยงกับความเข้าใจ ความไว้วางใจ และฉันทามติของประชาชน ทั้งในเชิงกฎหมายและสังคม มิฉะนั้น ระบบทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงโครงสร้างที่อ้างความชอบธรรม แต่ขาดฐานรองรับในทางสังคม
และนี่คือบทเรียนที่ประชาคมโลกกำลังเรียนรู้—บทเรียนที่ประเทศไทยควรร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกัน ด้วยสติ ปราศจากอคติ และความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะพัฒนาอนาคตทางการเมืองของเราให้มั่นคง ยั่งยืน และเป็นธรรมสำหรับทุกคน
หมายเหตุ: หลักการ Warsaw Principles (2025) ที่ประชุม World Justice Forum 2025 ณ กรุงวอร์ซอว์ ได้รับรอง “Warsaw Principles” ซึ่งเป็นหลักการ 10 ประการว่าด้วยการยืนหยัดเพื่อหลักนิติธรรม (Rule of Law) ในยุคแห่งความเปราะบางของประชาธิปไตย ได้แก่ :
1. ส่งเสริมกลไกตรวจสอบและถ่วงดุล (Checks and Balances) สนับสนุนระบบอำนาจที่มีการคานอำนาจอย่างเป็นระบบ
2. คุ้มครองกระบวนการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ (Peaceful Transfer of Power) ให้การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเป็นไปอย่างราบรื่นและน่าเชื่อถือ
3. คุ้มครองเสรีภาพการแสดงออกและภาคประชาชน (Freedom of Expression and Civic Space) ส่งเสริมสื่ออิสระและการมีส่วนร่วมของประชาชน
4. ยึดหลักสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาค (Human Rights and Non-Discrimination) ไม่เลือกปฏิบัติและปกป้องสิทธิพื้นฐาน
5. ค้ำจุนความเป็นอิสระของตุลาการ (Judicial Independence) ป้องกันการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองหรืออิทธิพลภายนอก
6. เสริมสร้างความรับผิดชอบของศาล (Judicial Accountability) ทำให้ศาลตรวจสอบได้ และยึดโยงกับความไว้วางใจของสาธารณะ
7. ขยายการเข้าถึงความยุติธรรม (Access to People-Centered Justice)ให้ทุกคนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม
8. ป้องกันการทุจริต (Anti-Corruption and Integrity)ลดโอกาสการใช้อำนาจในทางมิชอบทุกระดับ
9. เชื่อมโยงหลักนิติธรรมกับการพัฒนา (Rule of Law and Sustainable Development) ผสานกับประเด็นด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และภาคธุรกิจ
10. ส่งเสริมความร่วมมือในระดับสากล (Domestic and International Cooperation) สนับสนุนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างประเทศและภาคส่วนต่าง ๆ
ที่มา: World Justice Project, The Warsaw Principles (2025).
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: https://worldjusticeproject.org/rule-of-law-principles
ที่มา : Kittipong Kittayarak

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา