
"...เพราะทุกคนไม่ได้อยู่ในมาตรฐานของการบังคับใช้กฎหมายเดียวกัน เนื่องจากเป็นไปได้ว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร และทีมงานใช้วิธีหลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมาย โดยรู้มาก่อนเป็นอย่างดีว่าตนอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะที่เกิดเรื่องอื้อฉาว จึงได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าโดยตั้งตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมอีกตำแหน่งหนึ่ง เมื่อถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว จึงสามารถอาศัยช่องทางการบริหารงานของรัฐบาลต่อไปได้โดยผ่านทางตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เท่ากับว่าคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะสงสัยว่าจะไม่ซื่อสัตย์หรือขาดจริยธรรม นั้น ไม่มีความหมายและใช้บังคับได้เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ..."
ประเด็นทางกฎหมายที่ถกเถียงกันในขณะนี้ คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมจะถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้าทำหน้าที่ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม” ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 ได้หรือไม่ และหลังจากนั้นนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะทำหน้าที่รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมต่อไปได้หรือไม่
1. ความเดิม
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกสมาชิกวุฒิสภาเข้าชื่อกันร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 170 (4) แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 หรือไม่
สืบเนื่องมาจากเหตุคลิปเสียงหลุดจากการเจรจากิจการต่างประเทศระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พูดว่าตนเองกับนายฮุน เซน เป็นฝ่ายเดียวกัน และพูดว่า “แม่ทัพภาคที่ 2” เป็นฝ่ายตรงกันข้าม รวมถึงพฤติการณ์อื่น ๆ ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร
อันเป็นกรณีที่ผู้ร้องเห็นว่าเข้าข่ายมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และหรือมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 160 (4) และ (5)
ต่อมา วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้อง และมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 82 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า
“เมื่อได้รับเรื่องไว้พิจารณา หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สมาชิกผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัย”
2. ความเห็นของที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล
ที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล เห็นว่า แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีไปแล้ว นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีรักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ก็ยังคงมีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะนำนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญญาณต่อพระมหากษัตริย์ เพื่อเข้ารับหน้าที่ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม” ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2568
เนื่องจากคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้วินิจฉัยว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นสถานะความเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เพราะขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (4) และ (5)
อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษากฎหมายฝ่ายรัฐบาล เห็นว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว “ความเป็นรัฐมนตรี” ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ก็ต้องสิ้นสุดลงด้วย
สรุปสั้น ๆ ว่า ที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาลเห็นว่า “ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ตัดสิน” และมิได้มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพียงแต่มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเมื่อศาลยังไม่ได้ตัดสิน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร จึงเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
3. ความคลาดเคลื่อนของความเห็นของที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาล
ผู้เขียนเห็นว่าที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาล น่าจะมีความเห็นทางกฎหมายที่คลาดเคลื่อน ดังนี้
ประการแรก การสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจโดยอาศัยมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนวินิจฉัย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องยกขึ้นมาพิจารณาประกอบมาตรา 170 (4) ของรัฐธรรมนูญ
คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นมาตรการและวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำวินิจฉัย โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 82 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 71 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
“เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง หรือเพื่อป้องกันความรุนแรงอันใกล้จะถึงและคำร้องของผู้ร้องมีเหตุอันมีน้ำหนักที่ศาลจะวินิจฉัยให้เป็นไปตามคำร้อง เมื่อศาลเห็นสมควรหรือคู่กรณีได้ยื่นคำขอ ให้ศาลมีอำนาจกำหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยและออกคำสั่งไปยังหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และประเภทคดีที่กำหนดในข้อกำหนดของศาล
มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตามวรรคหนึ่ง ให้มีผลใช้บังคับได้ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่ศาลกำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวนั้น”
ตามมาตรา 82 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญข้างต้น แสดงว่าศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า “ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาจมีสถานะ “ความเป็นรัฐมนตรี” สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เพราะขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม เนื่องจากอาจมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และหรือมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ประกอบกับ มาตรา 71 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาว่า “เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง”
ศาลจึงสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี
สำหรับเงื่อนไขของมาตรา 71 วรรคสอง คำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ข้างต้นนี้ “มีผลใช้บังคับได้ไม่เกินหกสิบวัน”
คำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ข้างต้นจึงเป็น “มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”
การที่คนทั่วไปเข้าใจว่า “ศาลยังไม่ตัดสิน” จึงไม่สามารถสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ได้ จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะศาลมีอำนาจสั่งตามมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนวินิจฉัยได้
ทำนองเดียวกัน การที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ยกข้ออ้างข้อเถียงว่า ศาลรัฐธรรมนูญสงสัยว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร มีสถานะความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว จึงมีผลกระทบกระเทือนต่อการทำหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมด้วย นั้น ที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาล ได้โต้แย้งว่า ความเห็นดังกล่าวเท่ากับเป็นการตัดสินไปเองก่อนศาล
อีกทั้ง ที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาล เห็นว่า สถานะความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะมีผลกระทบกระเทือนต่อตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ก็ต่อเมื่อเป็นกรณีที่ศาลตัดสินแล้วเท่านั้น
ผู้เขียนเห็นว่า ความเห็นของที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาลเป็นความเห็นที่คลาดเคลื่อน
เพราะคำสั่งของศาลตามมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก็มีผลกระทบกระเทือนต่อคุณสมบัติของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากเมื่อศาลวินิจฉัยเสร็จจะมีผลย้อนหลังกลับมาถึงวันที่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ประการหนึ่ง กับคำสั่งศาลตามมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวมีผลโดยตรงต่อคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร อีกประการหนึ่ง ซึ่งส่วนหลังนี้จะแยกไปกล่าวในอีกหัวข้อหนึ่ง
สำหรับผลย้อนหลังนั้น เป็นไปตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 82 วรรคสอง บัญญัติว่า
“ ...และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งคำวินิจฉัยนั้นไปยังประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้องตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่กระทบต่อกิจการที่ผู้นั้นได้กระทำไปก่อนพ้นจากตำแหน่ง”
ตามมาตรา 82 วรรคสองดังกล่าว หากศาลวินิจฉัย ว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร มีสถานะ “ความเป็นรัฐมนตรี” สิ้นสุดลง ย่อมมีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ศาลสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ คือ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568
การที่มีผลย้อนหลังนี้จึงทำให้ “คำวินิจฉัย” ของศาลรัฐธรรมนูญ สัมพันธ์กับ “มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนวินิจฉัย”
เจตนาของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นเจตนาที่เล็งเห็นผลว่าอาจเกิดความเสียหายในภายภาคหน้าที่ยากต่อการแก้ไขเยียวยา จึงให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน ดังนั้น หากเป็นความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากคุณสมบัติของคน ๆ ใดคนหนึ่ง หากคนนั้นไปดำรงตำแหน่งใดก็ต้องหยุดไว้ก่อนทุกตำแหน่ง ไม่ใช่หยุดเฉพาะตำแหน่งนี้ แต่ให้ไปดำรงตำแหน่งอื่นได้
ประการที่สอง ผลกระทบกระเทือนต่อคุณสมบัติของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
ต่อมา วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
สถานะความเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 แต่ถัดมาเพียงวันเดียว คือ วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ความเป็นรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ก็ได้รับผลกระทบกระเทือนจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แม้ว่าที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาลเห็นว่า “ไม่กระทบต่อคุณสมบัติของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร สามารถถวายสัตย์ปฏิญาณและสามารถทำหน้าที่ “รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม” ต่อไปได้
แต่น่าจะเป็นความเห็นที่คลาดเคลื่อน เพราะศาลรัฐธรรมนูญ “มีเหตุอันควรสงสัยว่า สถานะ “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เนื่องมาจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร อาจไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และหรือมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
“ความสงสัยของศาลรัฐธรรมนูญ” เป็นความสงสัยต่อ “ตัวนางสาวแพทองธาร ชินวัตร” อันเป็นคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามที่มีต่อ “ตัวนางสาวแพทองธาร ชินวัตร”
เปรียบได้กับเจ้าของบริษัทเกิดความสงสัยว่าพนักงานคนใดไม่ซื่อสัตย์สุจริตหรือฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เมื่อเจ้าของบริษัทสั่งให้พักงานพนักงานคนนั้นไว้ก่อนแล้ว ต่อจากนั้นก็ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริงหรือสอบสวนความผิด ระหว่างพักงาน เจ้าของบริษัทย่อมไม่กล้าเรียกพนักงานคนนั้นกลับมาทำงานและมอบหมายงานให้กับพนักงานคนนั้นเพิ่มเติมอีก หากมีเจ้าของบริษัทคนใดเรียกพนักงานที่อยู่ระหว่างพักงานกลับมาทำงานโดยที่การพิจารณาความผิดยังไม่แล้วเสร็จ และมอบหมายการงานให้กับพนักงานคนนั้นเพิ่มเติมอีก ย่อมเป็นเรื่องวิปริตผิดแผกไปจากความรู้ความเข้าใจของปุถุชนทั่วไป
หากให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม” ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยภายในกรอบระยะเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่สั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ คือ นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญน่าจะต้องวินิจฉัยให้แล้วเสร็จไม่เกินวันที่ 1 กันยายน 2568
หากศาลวินิจฉัยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร มีสถานะ “ความเป็นรัฐมนตรี” สิ้นสุดลง สมมติว่าศาลวินิจฉัยเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ย่อมมีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568
นอกจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมด้วย
ปัญหาจะเกิดตามมาทันทีว่า “การใดที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้กระทำไปในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม” จะมีความสมบูรณ์เพียงใด เพราะกระทำไปในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญยังสงสัยในคุณสมบัติของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร
แม้มาตรา 82 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ จะบัญญัติว่า ให้พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่กระทบต่อกิจการที่ผู้นั้นได้กระทำไปก่อนพ้นจากตำแหน่ง แต่ก็เป็นกรณีของบทบัญญัติทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับความไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ตรงกันข้ามกับกรณีที่หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ้นจากตำแหน่งเพราะไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีหลังนี้ย่อมต้องพิจารณาด้วยว่าการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมนั้น มีกรณีใดที่เกี่ยวข้องกับการไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วยหรือไม่ หากมี ก็อาจต้องยกขึ้นมาพิจารณาเอาผิดกับผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้นด้วย โดยอาจต้องอาศัยอำนาจของบทบัญญัติของกฎหมายอื่นประกอบ เช่น กฎหมายอาญา แพ่งหรือปกครอง
ขณะเดียวกันกับที่สัมพันธ์กับ “ปัญหาขาเข้า” ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกัน ตรงที่การเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะมีคุณสมบัติสมบูรณ์ทางความซื่อสัตย์สุจริตและจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ เพียงใด ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้ตั้งข้อสงสัยไว้แล้วว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร อาจไม่ซื่อสัตย์สุจริตและไม่มีจริยธรรม จนถึงขั้นได้สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่มาแล้ว
คำถามจึงมีว่า ทำไมนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จึงไม่กระทำการป้องกันปัญหาไว้ก่อน ในเมื่อรู้ดีว่าตนถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง โดยการให้ผู้อื่นรักษาการแทนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาและเพื่อให้ห้วงระยะเวลาของการปฏิบัติหน้าที่ตรงกันกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร บริสุทธิ์หรือพ้นผิด จึงค่อยมารับตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม” อันเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อผลประโยชน์สาธารณะของประเทศชาติและผลประโยชน์ของกระทรวงวัฒนธรรม
ทั้งที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รู้เป็นอย่างดีว่าศาลรัฐธรรมนูญมีระยะเวลาการพิจารณาวินิจฉัยเพียงหกสิบวัน เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งน่าจะเป็นระยะเวลาที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร สามารถรอได้
อีกทั้งถึงแม้ว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ก็ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ราชการได้อย่างที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะขอบข่ายการปฏิบัติงานของกระทรวงวัฒนธรรมย่อมจำกัดไว้เฉพาะงานของกระทรวงวัฒนธรรม เว้นแต่ว่าจะมีใครแอบเข้าไปบงการงานของนายกรัฐมนตรีลับหลังคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ
สรุปว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญยังมีความสงสัยต่อ “ตัวนางสาวแพทองธาร ชินวัตร” จนถึงขั้นที่ต้องใช้มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะยังฝืนไปทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมอีกตำแหน่งหนึ่งต่อไปทำไม โดยอาศัยมูลเหตุจูงใจใด และมีความชอบด้วยกฎหมายเพียงใด
ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างน้อยที่สุดก็ในทางสังคมและกระบวนการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งย่อมปรากฏชัดเจนว่า “ไม่สง่างาม” หรือ “มิบังควร”
ส่วนปัญหาอย่างมากที่สุดในทางกฎหมาย อาจเข้าข่ายมีกากระทำที่ฝ่าฝืนคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มีผลกระทบกระเทือนต่อตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพราะเข้าข่ายสงสัยว่าขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 (4), 160 (4) และ (5) และมาตรา 82 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ ประกอบมาตรา 71 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่กล่าวแล้ว ซึ่งต้องพิจารณากฎหมายทั้งหมดประกอบกับ
การพิจารณาถึงผลกระทบกระเทือนต่อตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมจึงมิอาจกระทำได้โดยการพิจารณาเพียงมาตรา 170 (4) ของรัฐธรรมนูญเพียงมาตราเดียว ดังที่บรรดาที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาลกล่าวทำนองว่าเมื่อศาลยังไม่ได้ตัดสินว่าความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลง ความเป็นรัฐมนตรีของกระทรวงว่าการวัฒนธรรมก็ยังไม่สิ้นสุดลง และพิจารณาจากคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเดียว
รวมไปถึงอาจส่งผลต่อความชอบด้วยกฎหมายในขณะที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เข้ามาปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ทำให้เกิดปัญหาฟ้องร้องกันตามมา ดังเช่นที่มี ผู้เสนอให้ยื่นถอดถอนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมอีกรอบหนึ่ง
ทั้งนี้ ต้องย้ำด้วยว่ากรณีทั้งหมดเกิดขึ้นจากผลของมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวของศาลรัฐธรรมนูญ มิใช่ว่า ศาลยังไม่ตัดสินแล้ว จะถือว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ หรือยังไม่กระทบต่อตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ดังที่ที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาลกล่าวอ้าง
นอกจากนั้น กรณีการเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ดังกล่าว ยังมีค่าเท่ากับคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีผลบังคับอย่างเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย (equality before law) ตามหลักนิติธรรม (Rule of Law) ข้อที่สองของเอ วี ไดซีย์ (A. V. Dicey)
เพราะทุกคนไม่ได้อยู่ในมาตรฐานของการบังคับใช้กฎหมายเดียวกัน เนื่องจากเป็นไปได้ว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร และทีมงานใช้วิธีหลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมาย โดยรู้มาก่อนเป็นอย่างดีว่าตนอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะที่เกิดเรื่องอื้อฉาว จึงได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าโดยตั้งตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมอีกตำแหน่งหนึ่ง เมื่อถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว จึงสามารถอาศัยช่องทางการบริหารงานของรัฐบาลต่อไปได้โดยผ่านทางตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เท่ากับว่าคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะสงสัยว่าจะไม่ซื่อสัตย์หรือขาดจริยธรรม นั้น ไม่มีความหมายและใช้บังคับได้เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา