
"...ดังนั้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะสงสัยว่า “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร บกพร่อง ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงมีผลโดยตรงต่อความบกพร่องของ “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมด้วย..."
1. ข้อเท็จจริง
วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 9 ต่อ 0 ให้รับคำร้องที่สมาชิกวุฒิสภาเข้าชื่อกันจำนวน 36 คนตามมาตรา 82 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ขอให้ศาลพิจารณาตามมาตรา 170 (4) ว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร มีสถานะ “ความเป็นรัฐมนตรี” สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่
สมาชิกวุฒิสภาดังกล่าวอ้างว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (4) และ (5) อันได้แก่ (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
โดยอ้างเหตุจากกรณีที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยคุยโทรศัพท์ผ่านล่ามชาวกัมพูชากับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา และปรากฏเป็นคลิปเสียงหลุดออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ ข้อความที่สองคนคุยกันผ่านล่ามนั้น เป็นกรณีที่ผู้ร้องนำไปบรรยายคำร้องต่อศาลว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร กระทำการเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตและเข้าข่ายมีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เมื่อศาลรับคำร้องไว้แล้ว ศาลยังมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 2 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 82 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า
“เมื่อได้รับเรื่องไว้พิจารณา หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สมาชิกผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ...”
แต่ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว คือ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดใหม่ และควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อีกตำแหน่งหนึ่ง
เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 บรรดารัฐมนตรีที่ได้รับแต่งตั้งใหม่จะเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ก่อนที่จะเข้ารับหน้าที่ ตามบทบัญญัติมาตรา 161 แห่งรัฐธรรมนูญ
2. ปัญหาข้อกฎหมาย
“ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร “ในฐานะนายกรัฐมนตรี” ที่ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะศาลรัฐธรรมนูญสงสัยว่าจะมีเหตุตามที่ถูกร้อง คือ เข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และเข้าข่ายมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง นั้น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร “ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม” หรือไม่ เพียงใด
ความเห็นต่อข้อกฎหมายในประเด็นนี้แตกออกเป็นสองทาง ได้แก่
ทางที่หนึ่ง เห็นว่าเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
เพราะ “ความเป็นรัฐมนตรี” เป็นของคน ๆ เดียวกัน คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร อีกนัยหนึ่ง “เป็นคุณสมบัติ” ของคน ๆ คนเดียวกัน เมื่อเป็นที่สงสัยว่าบุคคลหนึ่งมีการกระทำเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์หรือฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ก็ย่อมติดตัวบุคคลนั้นไปตลอด ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” หรือ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม”
ดังนั้น นางสาวแพทองธาร ชินวัตร จึงไม่สามารถไปร่วมถวายสัตย์ปฏิญาณและเข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้
หากฝ่าฝืนไปถวายสัตย์ปฏิญาณและเข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อาจเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่มีคำสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้สงสัยในคุณสมบัติ “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ว่าเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์หรือฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
หากมีผู้ร้องศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปใหม่ หากศาลวินิจฉัยว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร ฝ่าฝืนคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว การถวายสัตย์ปฏิญาณก็ดี การเข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมก็ดี หรือแม้แต่การประชุมคณะรัฐมนตรีก็ดี อาจเป็นการกระทำโดยบุคคลที่ ฝ่าฝืนคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจกระทบต่อความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วนได้
ทางที่สอง เห็นว่า “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” แยกออกจาก “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม”
เพราะตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม” แยกออกจากตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี”
เนื่องจากคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น เป็นคำร้องที่ร้องนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” การพิจารณา “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จึงต้องพิจารณาจากขอบเขตของคำร้อง
ทำนองเดียวกันกับคำฟ้องและคำขอที่ยื่นต่อศาลอื่น เช่น ศาลอาญา ศาลแพ่ง หรือศาลปกครอง ซึ่งศาลดังกล่าวจะพิพากษาเกินคำฟ้องและคำขอไม่ได้ เพราะจะเป็นการพิพากษานอกคำฟ้องและคำขอ อันเป็นการต้องห้ามในกระบวนการพิจารณาและพิพากษาหรือวินิจฉัย
เหตุผลอีกอย่างหนึ่ง คือ ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นตำแหน่งที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งมาก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ไม่ทราบมาก่อนว่าตนเองจะถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
ทั้งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ยังไม่ได้เข้ารับหน้าที่และไม่ได้มีการกระทำใด ๆ ที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าในทางใดในตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม”
หากไม่ให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ถวายสัตย์ปฏิญาณและเข้ารับหน้าที่ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม” ก็ย่อมไม่เป็นธรรมกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร และย่อมทำให้การบริหารงานกระทรวงวัฒนธรรมได้รับความเสียหาย
อันเป็นความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะและยากต่อการแก้ไขเยียวยา เนื่องจากเกิดสุญญากาศของการบริหารกระทรวงวัฒนธรรมเป็นเวลานาน เพราะจะไม่มีรัฐมนตรีบริหารกระทรวง โดยที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เนื่องจากได้เสนอชื่อคณะรัฐมนตรีจนได้รับการโปรดเกล้าฯ ลงมาหมดแล้ว
สำหรับทัศนะของผู้เขียน เห็นว่า ทฤษฎีการตีความรัฐธรรมนูญ (theories of constitutional interpretation) มีทฤษฎีหลัก ๆ อยู่ 3 ทฤษฎี ได้แก่
(1) การตีความตามหลักการ (doctrinal interpretation) ได้แก่ การตีความตามแนวคำพิพากษาเดิม (precedents) และหลักนิติธรรม (rule of law)
(2) การตีความตามประวัติศาสตร์ (historical interpretation) ได้แก่ การตีความตามเจตนาของผู้ร่างดั้งเดิม (on the original of the framers of the constitution)
(3) การตีความตามแนวการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (responsive interpretation) ได้แก่ การตีความตามคุณค่าและหลักจริยธรรมในปัจจุบัน (constitutional interpretation with contemporary values and national ethos)
ผู้เขียนเห็นว่ากรณีที่เป็นปัญหาที่ยกมานี้สามารถตีความได้ทั้งสามแนวอย่างสอดคล้องกลมกลืนกัน ส่วนรายละเอียดคงต้องใช้เวลาค้นคว้าเพิ่มเติม
แต่ในชั้นนี้ ผู้เขียนเห็นว่า คำว่า “ความเป็นรัฐมนตรี” นั้น น่าจะมีรากมาจากการปกครองในระบอบรัฐสภาของอังกฤษ (Westminster model)
โดยอาศัยหลัก “คนที่หนึ่งในบรรดาคณะบุคคลที่เท่าเทียมกัน” (the first among equals) ของคณะรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งมีความหมายว่า “นายกรัฐมนตรี” เป็นรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง (the first ministers) ในบรรดารัฐมนตรีทั้งหมดหรือในคณะรัฐมนตรี (cabinet ministers)
ด้วยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 170 วรรคหนึ่ง จึงไม่ได้ใช้คำว่า “ความเป็นนายกรัฐมนตรี” สิ้นสุดลงเฉพาะตัว
แต่ใช้คำว่า “ความเป็นรัฐมนตรี” สิ้นสุดลงเฉพาะตัว และในวรรคสองของมาตราเดียวกัน ใช้คำว่า “ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี”
แสดงว่า “นายกรัฐมนตรี” ต้องมี “ความเป็นรัฐมนตรี” อยู่ในตัวเอง (serving as a minister in itself)
“ความเป็นรัฐมนตรี” จึงเป็นแก่นสาร (essence) ของรัฐมนตรีทุกคนที่ประกอบกันเป็นคณะรัฐมนตรี หรือมีค่าเท่ากับเป็นเงื่อนไขบังคับพื้นฐานสำหรับรัฐมนตรีทุกคน (as a fundamental prerequisite for all ministers)
ดังนั้น เมื่อ “ความเป็นรัฐมนตรี” ของบุคคลมีตำหนิ (flaw) เนื่องจากเกิดข้อสงสัยว่าเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์หรือฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง “ความเป็นรัฐมนตรี” ของบุคคลดังกล่าว จึงบกพร่อง (deficient)
เมื่อ “ความเป็นรัฐมนตรี” ของบุคคลบกพร่อง แม้เพียงเกิดข้อสงสัย ก็น่าจะทำให้ไม่สามารถเข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีได้ เพราะจะทำให้ “ความเป็นรัฐมนตรี” ขาดความสมบูรณ์
ดังนั้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะสงสัยว่า “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร บกพร่อง ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงมีผลโดยตรงต่อความบกพร่องของ “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมด้วย
ผู้เขียนจึงเห็นด้วยกับความเห็นของทางที่หนึ่งที่เห็นว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ไม่ควรร่วมถวายสัตย์ปฏิญาณและเข้าทำหน้าที่ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม”
เพราะจะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่และอาจกระทบกระเทือนต่อความสมบูรณ์ของการถวายสัตย์ปฏิญาณของรัฐมนตรีรายอื่น รวมถึงกระทบกระเทือนต่อการเข้าทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และหากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีและร่วมลงมติเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่สำคัญ อาจมีผลกระทบต่อความชอบของมตินั้นด้วย
ส่วนความเห็นทางที่สองนั้น ผู้เขียนเห็นแย้งว่า กรณีมิใช่คำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาเกินคำฟ้องหรือเกินคำขอ แต่เป็นการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญสงสัยว่า “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 (4)
3. ปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาล
จากผลของการรับคำร้องและการสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 0 และคะแนน 7 ต่อ 2 ตามลำดับ นั้น
แสดงให้เห็นแนวโน้มว่ากระบวนการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินการไปด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากวัตถุแห่งคดี คือ เทปบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตรกับนายฮุน เซน เป็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญสามารถพิจารณาวินิจฉัยได้ว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร ซื่อสัตย์สุจริตหรือฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายหรือไม่ เนื่องจากเป็นพยานหลักฐานที่น่าจะเพียงพอต่อการวินิจฉัยแล้ว โดยที่อาจมีพยานหลักฐานอื่นประกอบไม่มาก เช่น คำรับของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ว่าตนพูดเอง หรือคำขอโทษของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือคำเบิกความของผู้เชี่ยวชาญภาษาเขมร
ประกอบกับศาลรัฐธรรมนูญย่อมรู้ดีว่า หากศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาในการพิจารณาที่เนิ่นช้า อาจเกิดผลเสียต่อการบริหารบ้านเมือง เช่น กรณีของการเกิดสุญญากาศในการบริหารกระทรวงวัฒนธรรมที่กล่าวมา รวมไปถึงเสถียรภาพของรัฐบาลและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญในปัจจุบัน
แนวโน้มที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร มีความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว จึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง
เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวแล้ว จะมีผลให้รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง ตามมาตรา 167 (1) แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และตามหลักรัฐธรรมนูญของการปกครองในระบอบรัฐสภาที่นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้เสนอขอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีรายอื่น ๆ และตามหลักความรับผิดชอบร่วมกันของคณะรัฐมนตรี
บรรดาคณะรัฐมนตรีที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้เสนอขอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ไม่ว่าจะเป็นชุดที่หนึ่ง หรือชุดที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ จึงเป็นอันต้องพ้นจากตำแหน่งไปทั้งหมดตามมาตรา 167 (1)
เมื่อคณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งเพราะความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ต้องเริ่มกระบวนการรวบรวมเสียงจากสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ ตามมาตรา 159
แต่ตามมาตรา 159 นั้น วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ว่า นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นส.ส.ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของส.ส.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
วรรคสอง บัญญัติว่าต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของส.ส.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่
วรรคสาม บัญญัติว่านายกรัฐมนตรีต้องได้เสียงเห็นชอบโดยมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของส.ส.ทั้งหมดที่มีอยู่
หากผู้อยู่ในรายชื่อดังกล่าวได้เสียงสนับสนุนไม่พอ หรือมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 อีก อาจถูกสมาชิกรัฐสภาที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเข้าชื่อกันยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีก
บรรดารัฐมนตรีชุดใหม่และชุดเก่าที่ได้รับแต่งตั้งจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงอาจอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีนี้ไม่น่าจะใช้เวลานาน เช่น น่าจะประมาณเดือนหนึ่ง
ขณะเดียวกัน รัฐบาลชุดใหม่ต้องเผชิญกับปัญหาเสถียรภาพ ทั้งจากกระแสการเรียกร้องของผู้ชุมนุม แรงกดดันจากปัญหาเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศ และปัญหาข้อพิพาทชายแดนของไทยกับกัมพูชา
ส่วนกรณีของปัญหายืดเยื้อเรื้อรังที่เป็นปัญหาใหญ่ ๆ เช่น การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูประบบราชการ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจไม่ได้รับการพิจารณาหาแนวทางแก้ไขในรัฐบาลชุดนี้อีกแล้ว เพราะรัฐบาลไม่มีเวลา ต้องสาละวนกับแก้ปัญหาระยะสั้น พร้อมกับเตรียมการเลือกตั้งครั้งต่อไป
แม้ว่าขณะนี้รัฐบาลไม่ยอมลาออก และไม่ยุบสภา เพราะเห็นว่าการเลือกตั้งทั่วไปก่อนครบกำหนด (early election) โดยรัฐบาลยังเตรียมการไม่พร้อมและผลโพลที่ออกมายังมีคะแนนตอบรับไม่ดี รัฐบาลเสียเปรียบฝ่ายค้าน
รัฐบาลต้องต่อสู้ไปเท่าที่จะทำได้ โดยเทียบเคียงกับทฤษฎีการลงคะแนนโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจ (economic voting theory) ซึ่งมีสาระสำคัญว่า คนจะลงคะแนนโดยดูจากผลงานทางเศรษฐกิจในอดีตที่ผ่านมา (retrospective theory) หรือไม่ก็คาดหวังว่าอนาคตเศรษฐกิจจะดีขึ้น (prospective theory) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง
เมื่อรัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในอดีตไม่ได้ ก็หวังว่าผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจะมีความหวังกับนโยบายของรัฐบาลในอนาคต
นักการเมืองที่อยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรี จึงชอบพูดว่า “หากผลงานรัฐบาลดี คนก็จะเลือกเอง” หมายถึงเขาหวังเข้าไปสร้างผลงาน เพื่อสร้างคะแนนนิยม
แต่สถานการณ์ทางกฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจและการต่างประเทศ จะบีบรัฐบาลให้ยิ่งไร้เสถียรภาพไปเรื่อย ๆ จนสุกงอมและน่าจะใช้เวลาไม่นาน ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะไม่ยอมลาออกหรือยุบสภา แต่ในที่สุดสถานการณ์ก็รุมเร้าจนในที่สุดก็ต้องเลือกยุบสภาแบบที่เคยทำมาอยู่ดี..

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา