"...กรณีที่มีการจำหน่ายอัลพราโซแลมหรือฟลูไนตราชีแพมที่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้จำหน่ายจักมีความผิดฐาน "จำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยการขายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน" ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวแต่ต้องถูกดำเนินคดีสองฐานความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 35, 94 , 149..."
ยาเสียสาวซึ่งถูกเรียกกันทั่วไปในบางกลุ่มโดยนำยานอนหลับที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดมาใช้ในทางที่ผิดซึ่งมักเป็นกลุ่มยาคลายกังวลหรือยานอนหลับ เช่น มิดาโซแลม (Midazolam หรือ โดมิคุม), อัลพราโซแลม (Alprazolam), ฟลูไนตราซีแพม (Flunitrazepam) หรือ โรฮิปนอล (Rohypnol) ยาเหล่านี้มีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม มึนงง หรือหมดสติ ซึ่งยานอนหลับที่มักมีผู้นิยมนำไปใช้ในทางที่ผิดมี 2 ชนิด คือ
ยาอัลพราโซแลม (alprazolam) เป็นยากลุ่ม benzodiazepine ที่ออกฤทธิ์สั้นหรือ นานปานกลาง เช่นเดียวกับ lorazepam มีชื่อทางการค้า เช่น zolam®, xanax® เป็นต้น ใช้สำหรับรักษาอาการ วิตกกังวล สงบระงับ และช่วยให้นอนหลับ มีการดูดซึมยา (t max) ภายใน 1 - 2 ชั่วโมง จับกับโปรตีนในพลาสมาได้ 67 - 72 % และมีค่าครึ่งชีวิต 11.1 - 19 ชั่วโมง
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอื่น ๆ ที่พบ เช่น คลายกล้ามเนื้อลาย (muscle relaxants) ต้านอาการชัก (antiepileptics) ทำให้สูญเสียความทรงจำชั่วขณะ (anterograde amnesia) ความสามารถในการเรียนรู้ และความจำลดลง สมรรถภาพในการทำงานที่ต้องใช้ความชำนาญ หรือการตัดสินใจฉับพลันเสื่อมลง
Rohypnol (โรฮิปนอล) เป็นชื่อการค้าของยานอนหลับโดยบริษัทยา Roche ซึ่งเป็นผู้คิดค้นและผลิตเป็นเจ้าแรก โดยเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยชื่อสามัญของยาตัวนี้คือ Flunitrazepam ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม Benzodiazepines (BZD) โดยมียาในกลุ่มเดียวกันนี้ที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ได้แก่ Alprazolam (Xanax®), Clonazepam, Diazepam (Valium®), Lorazepam เป็นต้น
คุณสมบัติที่ทำให้ยาเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในทางที่ผิดจึงมีชื่อที่เรียกว่า "ยาเสียสาว" ได้แก่
1) ออกฤทธิ์รวดเร็ว : โดยส่วนใหญ่ออกฤทธิ์ภายใน 5 - 30 นาที หลังรับประทาน
2) ละลายน้ำได้ดี : ทำให้ผสมในเครื่องดื่มได้ง่ายและยากต่อการสังเกต
3) ไม่มีกลิ่นหรือรสชาติที่ชัดเจน : ทำให้เหยื่อไม่รู้ตัวว่าถูกมอมยา
4) ทำให้เกิดอาการมึนงง สับสน ง่วงซึม หรือหมดสติ : เหยื่อจะไม่สามารถขัดขืนหรือจำเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นได้
5) อาจมีผลข้างเคียงต่อความทรงจำ : ทำให้เหยื่อจำเหตุการณ์หลังจากได้รับยาไม่ได้
การดำเนินคดีในส่วนของการจำหน่ายยานอนหลับที่มีส่วนผสมของอัลพราโซแลม (alprazolam) หรือ ฟลูไนตราซีแพม (flunitrazepam) หรือยานอนหลับชนิดอื่น ๆ นั้น ต้องพิจารณาก่อนว่ายานอนหลับนั้นมีส่วนผสมของยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธิ์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขหรือไม่และเป็นประเภทใด
เช่น ยานอนหลับที่มีส่วนผสมของอัลพราโซแลม (alprazolam) หรือ ฟลูไนตราซีแพม (flunitrazepam) นั้น ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 พ.ศ. 2565 กำหนดให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ลำดับที่ 1 และลำดับที่ 14 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 30 กำหนดให้วัตถุออกฤทธิ์แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1) ประเภท 1 วัตถุออกฤทธิ์ที่ไม่ใช้ในทางการแพทย์และอาจก่อให้เกิดการนำไปใช้หรือมีแนวโน้มในการนำไปใช้ในทางที่ผิดสูง
2) ประเภท 2 วัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์และอาจก่อให้เกิดการนำไปใช้หรือมีแนวโน้มในการนำไปใช้ในทางที่ผิดสูง
3) ประเภท 3 วัตถุออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์และอาจก่อให้เกิดการนำไปใช้หรือมีแนวโน้มในการนำไปใช้ในทางที่ผิด
4) ประเภท 4 วัตถุออกฤทธิ์ี่ที่ใช้ในทางการแพทย์และอาจก่อให้เกิดการนำไปใช้หรือมีแนวโน้มในการนำไปใช้ในทางที่ผิดน้อยกว่าประเภท 3
ซึ่งตามกฎหมายการขายหรือจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์นั้นสามารถทำได้แต่ต้องได้รับอนุญาต จึงสามารถที่จะจำหน่ายได้ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดมาตรา 35
แต่หากเป็นการครอบครองของผู้ป่วยเท่าที่จำเป็นเพื่อใช้ในการรักษาตัวตามคำสั่งของแพทย์ซึ่งเป็นผู้ให้การรักษาผู้ป่วยก็จะไม่มีความผิดแม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ครอบครองตามมาตรา 33
การซื้อขาย หรือจำหน่ายนั้นจะควบคุมโดยกองควบคุมวัตถุเสพติดขององค์การอาหารและยา จะต้องมีการจัดทำทะเบียน ประวัติการซื้อยา และการใช้ยา เพื่อรายงานให้กับองค์การอาหารและยาทราบ และผู้มีอำนาจอนุญาตให้สามารถผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ คือ เลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยา
กรณีที่มีการจำหน่ายอัลพราโซแลมหรือฟลูไนตราชีแพมที่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้จำหน่ายจักมีความผิดฐาน "จำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยการขายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน" ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวแต่ต้องถูกดำเนินคดีสองฐานความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 35, 94 , 149
จากข่าวที่เกิดขึ้นการที่แพทย์ได้สั่งซื้อยานอนหลับที่มีวัตถุออกฤทธิ์เป็นส่วนประกอบและมีการแบ่งหน้าที่กันทำในการร่วมกันจำหน่าย ร่วมเก็บรักษา ดูแลและส่งมอบวัตถุออกฤทธิ์ ดังกล่าวให้แก่ผู้ที่ต้องการหรือผู้ซื้อ
การกระทำของผู้ร่วมกระทำความผิดมีลักษณะเป็นตัวการร่วม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และเป็นการร่วมการกระทำความผิดในความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายยาเสพติด จึงสามารถดำเนินคดีกับแพทย์และผู้ร่วมกระทำความผิดในความผิดฐาน "สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้สมคบกัน, ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายและร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยการขายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน" มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีและปรับไม่เกินเจ็ดแสนบาท ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 35, 94, 149, 127 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83
นอกจากนี้ หากการกระทำของแพทย์ และผู้ร่วมกระทำความผิดนั้นมีพยานหลักฐานพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำความผิดมากกว่าหนึ่งครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถดำเนินคดีในทุกกรรมที่กระทำความผิดได้เป็นต่างกรรมต่างวาระ
อย่างไรก็ตาม หากมีพยานหลักฐานแสดงได้ว่ามีผู้ซื้อยานอนหลับดังกล่าวจากแพทย์ผู้กระทำความผิดกับพวก เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินคดีกับผู้ซื้อได้หรือไม่
กรณีการดำเนินคดีกับผู้ซื้อวัตถุออกฤทธิ์หรือยาเสพติดนั้นส่วนมากหากตรวจยึดวัตถุออกฤทธิ์หรือยาเสพติดของกลางได้ผู้ซื้อจะถูกดำเนินคดีในความผิดฐานครอบครองวัตถุออกฤทธิ์หรือยาเสพติด
แต่กรณีที่ผู้ขายและผู้ซื้อถูกจับกุมและดำเนินคดีพร้อมกันแม้ว่าผู้ซื้อจะไม่มีเจตนาในการร่วมกันจำหน่ายกับผู้ขายแต่การที่ผู้ขายครอบครองวัตถุออกฤทธิ์หรือยาเสพติดเป็นเพราะครอบครองมาเพื่อนำมาขายให้กับผู้ซื้อ จึงเป็นความผิดฐาน "สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้สมคบกัน, ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย" และเพิ่มฐานความผิดของผู้ขายเพิ่มเติม คือ "จำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยการขายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน"
กล่าวได้ว่าการสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดไม่จำต้องเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ฝ่ายผู้ซื้อ และฝ่ายผู้ขายกระทำความผิดฐานสมคบฯ กันได้ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1112/2543 "
การจำหน่ายยาเสพติดให้โทษจะต้องมีผู้ขายฝ่ายหนึ่งกับผู้ซื้ออีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายมีเจตนาคนละอย่างกัน ผู้ชายมีเจตนาที่จะขาย ผู้ซื้อมีเจตนาที่จะซื้อ เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันที่จะขายและจะซื้อยาเสพติดให้โทษต่อกัน ก็ถือว่าได้สมคบโดยการตกลงร่วมกันคบคิดกันที่จะกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดแล้ว หาใช่ว่าจะต้องมีเจตนาเดียวกันหรือเจตนาร่วมกันไม่"
ส่วนกรณีผู้กระทำความผิดเป็นข้าราชการจักต้องรับโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่กระทำมากกว่าการกระทำของบุคคลธรรมดานั้น เป็นไปตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 180 บัญญัติว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการ พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พนักงานองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กรรมการหรือผู้บริหารหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าพนักงานหรือกรรมการองค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ผู้ใดกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น"
วัตถุประสงค์ของกฎหมาย คือ ต้องการให้ผู้ที่กระทำความผิดที่เป็นข้าราชการหรือมีตำแหน่งพิเศษที่รับเงินเดือนจากรัฐต้องมีความยับยั้งชั่งใจ ตระหนักและเกรงกลัวในการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด
ดังนั้น กรณีตามข่าวที่แพทย์หญิงเป็นข้าราชการและเป็นผู้กระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดจึงเป็นบุคคลที่ต้องระวางโทษหนักขึ้นสามเท่าเป็นเรื่องเฉพาะตัว
การบรรยายฟ้อง ต้องบรรยายถึงฐานะ ตำแหน่ง สังกัดของผู้ต้องหาที่เป็นข้าราชการนั้นด้วย โดยพยานหลักฐานสำคัญที่จะต้องมีในสำนวน คือ หนังสือรับรองว่าเป็นข้าราชการและรับเงินเดือนจากหน่วยงานต้นสังกัดใดก่อนฟ้องเสมอ ซึ่งหากผู้กระทำความผิดนั้นเป็นพนักงานหรือลูกจ้างที่สังกัดในหน่วยงานภายในของราชการแต่ไม่ได้รับเงินเดือนจากกระทรวงการคลัง เช่น พนักงานหรือลูกจ้างของสำนักงานประกันสังคมก็จะไม่เป็นบุคคลที่ต้องระวางโทษหนักขึ้นตามมาตรานี้
นอกจากนี้ เมื่อมีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดแม้จะเป็นความผิดฐานจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์...โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย...หรือจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์...โดยการขาย การดำเนินคดีไม่ได้มีเฉพาะความรับผิดทางอาญาแต่เพียงอย่างเดียว
ประมวลกฎหมายยาเสพติดยังได้บัญญัติโทษทางทรัพย์สินเพื่อตัดวงจรทางเศรษฐกิจของผู้กระทำความผิดด้วยไว้ในลักษณะ 4 การตรวจสอบทรัพย์สิน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดดำเนินมาตรการตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อริบทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 68 ได้
กล่าวโดยสรุป การครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ หรือการจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ที่ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดมาตรา 1 ให้นิยามว่าเป็น "ยาเสพติด" ก็มีความผิดหนักและมีอัตราโทษสูงคล้ายกับการครอบครอง หรือการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้าหรือยาไอซ์) และอาจถูกดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดได้ โดยผู้กระทำความผิดอาจเกิดความย่ามใจในการขายหรือจำหน่ายยานอนหลับที่เป็นวัตถุออกฤทธิ์โดยเข้าใจว่าโทษไม่ร้ายแรงเท่ากับการจำหน่ายยาเสพติดที่บุคคลทั่วไปรู้จักและศาลอาจมีคำพิพากษารอการลงโทษได้ แต่อย่าลืมว่า "การไม่รู้กฎหมายไม่สามารถปฏิเสธความผิดและโทษที่ต้องได้รับได้"
แหล่งที่มา : สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด