
"...ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัย คือ ป.วิอาญา มาตรา 246 ใช้กับจำเลยที่ยังไม่ถูกคุมขัง โดยมีความจำเป็นต้องขอทุเลาการบังคับการคุมขังต่อศาลใช่หรือไม่? ถ้าหากใช่ ศาลก็ต้องวินิจฉัยต่อว่าคุณทักษิณถูกคุมขังแล้วหรือยัง? หมายความว่าสถานะของคุณทักษิณในเวลานั้นได้ก้าวข้ามเส้นจากการเป็น “จำเลยที่ยังไม่ถูกคุมขัง” ไปเป็น “ผู้ต้องขัง” แล้วหรือยัง?..."
ผมเป็นทนายความพื้น ๆ แต่คิดว่าคดีคุณทักษิณน่าสนใจ จึงขอแสดงความคิดเห็นแจมกับเวทีทัศน์ของสำนักข่าวอิศราด้วยการเสนอมุมมองทางกฎหมาย ดังนี้
ข้อ 1. คดีคุณทักษิณ เริ่มมาจากการที่คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ร้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกาคดี อม.) ว่าคุณทักษิณ ไม่ได้ถูกบังคับโทษจากการที่ศาลได้ตัดสินให้จำคุก
ศาลวินิจฉัยคำร้องไต่สวนว่า คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ไม่ใช่คู่ความในคดีและไม่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการบังคับคดี จึงไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องในคดีและไม่ใช่ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลนี้
แต่คำร้องของคุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ทำให้ความปรากฏแก่ศาลเป็นที่สงสัยว่าคุณทักษิณได้รับการบังคับคดีแล้วหรือไม่ อย่างไร โดยเฉพาะที่คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อ้างว่าคุณทักษิณยังไม่ได้รับการบังคับคดีและกระบวนการส่งตัวไปรักษาโรงพยาบาลตำรวจไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246
ศาลจึงใช้อำนาจตามพรป.วิอม. มาตรา 6 ให้คู่ความในคดีเดิม คือ โจทก์และจำเลยชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลว่ามีข้อเท็จจริงตามที่คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ร้องมาหรือไม่ พร้อมกับสำเนาให้ผู้เกี่ยวข้องอีก 3 คนชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบังคับโทษของศาลด้วย คือ (1) ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ (2) อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ (3) นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ
ข้อ 2. ตามพรป. วิ อม. นั้น การไต่สวนของศาลขึ้นอยู่กับประเด็นแห่งคดี แต่เพื่อการเปิดกว้างในทางที่สร้างการรับรู้ประเด็นทางกฎหมายและเพื่อประโยชน์สาธารณะ คิดว่าประเด็นอาจมีทำนองนี้
2.1 “การส่งคุณทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจ” ราชทัณฑ์ต้องขอศาลก่อนหรือไม่? ประเด็นข้อนี้มาจากคำร้องของคุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่ระบุว่าราชทัณฑ์ต้องขอศาลก่อนตามป.วิอาญา มาตรา 246
ในการไต่สวน ฝ่ายราชทัณฑ์และจำเลยคงต่อสู้ว่า ราชทัณฑ์มีอำนาจส่งผู้ป่วยออกไปข้างนอกได้ตามพรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55
ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัย คือ ป.วิอาญา มาตรา 246 ใช้กับจำเลยที่ยังไม่ถูกคุมขัง โดยมีความจำเป็นต้องขอทุเลาการบังคับการคุมขังต่อศาลใช่หรือไม่? ถ้าหากใช่ ศาลก็ต้องวินิจฉัยต่อว่าคุณทักษิณถูกคุมขังแล้วหรือยัง? หมายความว่าสถานะของคุณทักษิณในเวลานั้นได้ก้าวข้ามเส้นจากการเป็น “จำเลยที่ยังไม่ถูกคุมขัง” ไปเป็น “ผู้ต้องขัง” แล้วหรือยัง?
ข้อนี้ฝ่ายคุณทักษิณและนักกฎหมายหลายคนอ้างว่าคุณทักษิณถูกคุมขังแล้ว เพราะว่าได้เข้าไปในเรือนจำและรายงานตัวเป็นผู้ต้องขังแล้ว เช่น ความเห็นของอาจารย์วิษณุ เครืองาม เป็นต้น
หากฟังได้ว่าคุณทักษิณถูกคุมขังแล้วเช่นนี้ ป.วิอาญา มาตรา 246 ก็ย่อมใช้กับคุณทักษิณไม่ได้ เพราะมาตรา 246 เป็นบทบัญญัติที่ใช้กับจำเลยที่ยังไม่ถูกคุมขัง
2.2 ประเด็นที่ใหญ่ที่สุดของการไต่สวนจึงอยู่ที่พรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560มาตรา 55 ซึ่งบัญญัติว่า
ในกรณีที่ผู้ต้องขังป่วย มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อ ให้ผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการให้ผู้ต้องขังได้รับการตรวจจากแพทย์โดยเร็ว
หากผู้ต้องขังนั้นต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้านหรือถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ส่งตัวผู้ต้องขังดังกล่าวไปยังสถาบันบำบัดรักษาสำหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะ โรงพยาบาลหรือสถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิต นอกเรือนจำต่อไป ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ระยะเวลาการรักษาตัว รวมทั้งผู้มีอำนาจอนุญาต ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
ในกรณีที่ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำตามวรรคสอง มิให้ถือว่าผู้ต้องขังนั้นพ้นจากการคุมขัง และถ้าผู้ต้องขังไปเสียจากสถานที่ที่รับผู้ต้องขังไว้รักษาตัว ให้ถือว่ามีความผิดฐานหลบหนีที่คุมขังตามประมวลกฎหมายอาญา
ตามมาตรา 55 วรรคสองข้างต้นใช้คำว่า “หากผู้ต้องขังนั้นต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้าน” หมายถึงจำเป็นต้องส่งตัวไปให้แพทย์เฉพาะทางบำบัดรักษา ส่วนข้อความที่ว่า “หรือถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น” คงไม่เข้ากรณีคุณทักษิณ เพราะคุณทักษิณยังไม่ได้เข้าไปรักษาพยาบาลในเรือนจำ ไม่ว่าจะเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำหรือโรงพยาบาลราชทัณฑ์
จากข้อเท็จจริงของแพทยสภาได้ความว่า มีแพทย์คนหนึ่งทำผิดจรรยาบรรณแต่ไม่ร้ายแรง เพราะลงนามในหนังสือส่งตัวคุณทักษิณโดยที่มีผู้ร่างหนังสือส่งตัวคุณทักษิณไว้ให้แล้ว ตามข่าวนั้น แพทย์คนนี้ให้การทำนองว่าเกรงกลัวต่ออำนาจของผู้บังคับบัญชา แต่ทั้งนี้ย่อมไม่ได้หมายความว่าแพทย์คนนี้จะไม่กระทำผิดกฎหมายอาญา
ประการต่อมา ในแง่ของความจำเป็น คุณทักษิณต้องจำเป็นไปให้แพทย์เฉพาะทางบำบัดรักษาขนาดไหน? เพราะตามพรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 54 เรือนจำทุกแห่งต้องมีสถานพยาบาล และยังปรากฏข้อเท็จจริงในคดีด้วยว่าเรือนจำที่คุณทักษิณต้องขังนั้นมีโรงพยาบาลราชทัณฑ์ขนาด 500 เตียง
อีกทั้งต้องพิจารณาข้อเท็จจริงด้วยว่าคุณทักษิณป่วยเป็นโรคอะไรที่จำเป็นต้องให้แพทย์เฉพาะทางรักษา ตามข้อมูลจากการสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นของแพทยสภานั้น คุณทักษิณป่วยเป็นโรคกระดูก และข้อมูลทางการแพทย์นั้นยังปรากฏว่าคนที่ป่วยเป็นโรคกระดูกที่จำเป็นต้องส่งไปให้แพทย์เฉพาะทางบำบัดรักษาโดยด่วนนั้น มีได้ไม่กี่โรคเท่านั้น เช่น กระดูกเปิดออกที่จำเป็นต้องผ่าตัดโดยด่วน
ข้อมูลของแพทยสภามีทำนองว่า หากคุณทักษิณป่วยเป็นโรคกระดูก ทำไมไม่นอนพักในเรือนจำก่อน แล้วนัดหมายกับแพทย์ไปตรวจอาการที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน และหากโรงพยาบาลราชทัณฑ์เห็นว่าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูก จำเป็นต้องส่งตัวคุณทักษิณไปรักษาโรคกระดูกโดยแพทย์เฉพาะทางที่ไหน อย่างไร แพทย์ของโรงพยาลราชทัณฑ์ก็น่าจะได้ทำความเห็นเป็นหนังสือและทำหนังสือส่งตัวคุณทักษิณออกนอกเรือนจำไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ แพทยสภาจึงเห็นว่ากรณีที่แพทย์สองคนของโรงพยาบาลตำรวจจัดทำคำรับรองแพทย์ว่าคุณทักษิณป่วยด้วยโรคกระดูกขั้นวิกฤตินั้น อาการป่วยโรคกระดูกดังกล่าวไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ว่าเกิดการวิกฤติ การจัดทำคำรับรองดังกล่าวจึงไม่เป็นความจริง ซึ่งความหมายทางกฎหมาย ก็คือ จัดทำเอกสารโดยมีข้อความอันเป็นเท็จ เมื่อแพทยสองคนเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ทำเอกสาร ย่อมเป็นเจ้าพนักงานจัดทำเอกสารเท็จเพื่อรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ อันเป็นความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 (4)
จากข้อเท็จจริงทางการแพทย์ของแพทยสภาจึงพอวินิจฉัยได้ว่ากรณีของคุณทักษิณไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นสถาบันบำบัดรักษาโรคกระดูกโดยเฉพาะ
ปัญหาต่อมา คือ มาตรา 55 วรรคสาม บัญญัติว่า ถ้าส่งตัวตามมาตรา 55 วรรคสองแล้ว มิให้ ถือว่าคุณทักษิณพ้นจากการคุมขัง
เมื่อฟังได้ว่าการส่งตัวตามมาตรา 55 วรรคสองเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้มีเหตุจำเป็นที่จะต้องบำบัดรักษาเฉพาะทาง ประการหนึ่ง กับอีกประการหนึ่ง เป็นการเตรียมการทำเอกสารส่งตัวเอาไว้ล่วงหน้า อันแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาร่วมกันในการเตรียมการส่งคุณทักษิณออกไปโรงพยาบาลตำรวจล่วงหน้าอันเป็นกรณีที่ทุจริตต่อหน้าที่แล้ว
การที่คุณทักษิณมานอนรักษาตัวโรคกระดูกเสื่อมอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหกเดือนจะถือว่าเป็นการคุมขังหรือไม่?
ถ้าหากศาลเห็นว่าการส่งตัวตามมาตรา 55 วรรคสอง จะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่ถือว่าเป็นการส่งตัวออกมาบำบัดรักษาเฉพาะทางแล้ว ก็ย่อมถือว่าคุณทักษิณถูกคุมขังแล้ว
แต่ถ้าศาลเห็นว่าการส่งตัวตามมาตรา 55 วรรคสอง จำเป็นต้องกระทำด้วยความชอบด้วยกฎหมาย การส่งตัวออกมาบำบัดรักษาเฉพาะทางของคุณทักษิณก็น่าจะไม่ใช่เป็นการคุมขัง
เท่ากับการบังคับตามหมายขังของศาลยังไม่ได้เริ่มต้น ย่อมมีผลให้จำเป็นต้องนำคุณทักษิณกลับไปเริ่มต้นคุมขังใหม่
นอกจากนั้น ข้อเท็จจริงอาจจะยังปรากฏด้วยว่า คุณทักษิณไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาลตำรวจตลอดเวลาหกเดือนตามที่มีบางคนตั้งข้อสังเกตเอาไว้ ถ้าหากมีพยานหลักฐานเช่นนั้นจริง จะถือว่าคุณทักษิณหลบหนีที่คุมขังตามมาตรา 55 วรรคสาม ด้วยหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ในการไต่สวนนัดแรก ศาลน่าจะยังฟังความได้ไม่เพียงพอที่จะมีคำวินิจฉัย เพราะอย่างน้อยที่สุดศาลยังไม่ได้มีการเรียกให้แพทยสภาไปชี้แจง และอาจมีประเด็นเพิ่มเติมจากการชี้แจงของโจทก์จำเลยและผู้ที่ศาลเรียกให้ชี้แจงอีก 3 คนที่กล่าวมาแล้ว จึงเป็นไปได้ว่าศาลจะนัดให้มีการไต่สวนต่อไป..
รูปภาพจาก : BBC NEWS

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา