
"...4. แม้ในยามสิ้นไร้อิสรภาพ ถูกจองจำถึง 3 คุกขัง ใช้ชีวิตอย่างยากเข็ญเป็นเวลา 11 ปี ไม่ทำให้พระองค์สิ้นหวัง กลับช่วงชิงเวลาศึกษา ทำแปลงเกษตรในคุกขังให้เพื่อนผู้ต้องขัง และคนภายนอกได้ศึกษาแบบอย่างเป็นที่น่ายกย่อง..."
ณ ทัณฑสถานตะรุเตา บนเกาะกลางทะเลลึกอันดามัน ขณะที่พระยาศราภัยพิพัฒ และคณะ ซึ่งต้องโทษการเมืองคดีกบฎบวรเดช ชวนกันแหกคุกฝ่าดงฉลามไปยังเกาะลังกาวี ดินแดนมลายูในการปกครองของอังกฤษ เป็นผลสำเร็จ
ในบันทึก จากหนังสือ “ฝันร้ายของข้าพเจ้า” ของพระยาศราภัยพิพัฒ เขียนว่า

“นอกจากนี้ ข้าพเจ้ายังได้ทูลชวน หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร นาวาเอกแสงสิทธิการ (แสง นนทสุต) และ สอ เศรษฐบุตร (หลวงมหาสิทธิโวหาร ) ท่านทั้งสามนี้ให้เหตุผลต่างๆ ว่าไม่หนี ท่วงทีเป็นเชิงไม่ไว้ใจว่าจะไปรอด”
ในปี 2482 เมื่อ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดคดีกบฏบวรเดช ได้จัดส่งนักโทษการเมืองจำนวน 70 คนไปที่ตะรุเตา นักโทษทั่วไปกว่า 3,000 คน ถูกขังบริเวณอ่าวตะโละวาวทางตอนเหนือของเกาะอาดัง ส่วนนักโทษการเมืองถูกขังอยู่ทางอ่าวตะโละอุดังทางตอนใต้ ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะลังกาวี 5 กิโลเมตร
หนึ่งในนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขังทั้ง 3 คุก คือบางขวาง ตะรุเตา จ. สตูล และเกาะเต่า สุราษฎร์ธานี พระนามว่า หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร
ม.จ. สิทธิพร เป็นโอรสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนเรศวรฤทธิ เป็นพระอนุชาของ ม.จ. บวรเดช เมื่อเจริญพระชันษา ถูกส่งไปศึกษาที่อังกฤษ ได้เรียนวิศวกรรมเครื่องกลที่มหาวิทยาลัยลอนดอน
กลับมาเมืองไทย เพราะรู้เรื่องเครื่องจักรกลจึงได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยอธิบดีกรมฝิ่น กระทรวงการคลัง (ปี 2453) ย้ายไปเป็นอธิบดีกรมกษาปณ์สิทธิการ (ปี 2450) แล้วกลับไปรับหน้าที่อธิบดีกรมฝิ่นอีกครั้ง ทรงปรับปรุงระบบการจำหน่ายฝิ่น ทำรายได้ให้ราชการมากถึงร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด
ได้สมรสกับเจ้าศรีพรหมา ธิดาของเจ้าผู้ครองนครน่าน
ด้วยเหตุไม่ชอบทำงานประจำแบบนั่งโต๊ะ และงานซ้ำซาก ไม่มีอะไรท้าทาย ทรงมองการณ์ไกลว่า ราชการไม่อาจขยายตำแหน่งเพียงพอที่จะรับคนรุ่นใหม่ได้ และทรงเห็นโอกาสกว้างขวางของอาชีพเกษตรกรรม ที่ไม่ต้องแข่งขันกับใคร
จึงทรงลาออกจากราชการไปอยู่กับไร่นาที่บางเบิด ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อทำอาชีพเกษตรกรรมแบบพึ่งพาตนเอง
นี่นับเป็นเรื่องประหลาด เพราะในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ใครๆ ก็อยากเข้ารับราชการอยู่ในรั้วในวัง ดังที่มีคำเปรียบเปรยว่า “สิบพ่อค้า ไม่เท่า พระยาเลี้ยง” หมายถึงว่าไม่มีอาชีพใดอีกแล้วที่จะมีเกียรติยศและมีฐานะดีเท่ารับราชการ ยิ่งเป็นข้าราชการระดับสูง ยิ่งได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน ยิ่งทำให้มีอภิสิทธิ์เหนือสามัญชนทั่วไป
ใครเลยจะคาดคิดว่า ม.จ. สิทธิพร นั้น มีสถานะทั้งทรงเป็นเจ้า และทรงเป็นถึงอธิบดีถึง 2 กรม กลับสละสถานะอันสูงส่งลดชั้นตนเองมาเป็นชาวไร่ชาวนาที่ต้องเอาหลังสู้ฟ้าเอาหน้าสู้ดิน
เป็นทางเลือกที่แหวกออกจากวิถีปฏิบัติของคนไทยในยุคนั้น อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ

ปลายปี 2463 พ่อแม่ลูกชายและลูกสาว ย้ายถิ่นจากกรุงเทพฯ อันอุดมสมบูรณ์และทันสมัย ไปอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห้วยตาแป๊ะ บางเบิด ห่างจากตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ 50 กม. ที่นั่นภูมิประเทศเป็นเนินหญ้า ดินปนทราย มีน้ำไหลผ่าน มีเก้ง กวาง และหมูป่า อาศัย
ทั้ง 4 คนช่วยกันขุดดิน ถางหญ้า ปลูกผัก ปลูกข้าว ปลูกผลไม้ เลี้ยงไก่ เลี้ยงวัว ขยายพันธุ์หมู ทำระบบชลประทาน ปลูกพืชหมุนเวียน ปลูกพืชขั้นบันได และใช้รถไถเป็นคนแรก
ทรงเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์เล็กฮอร์น ได้ไข่ไก่คุณภาพดี และขายได้วันละ 300 – 400 ฟอง ขายโหลละ 40 – 60 สตางค์ ถือเป็นคนแรกที่ขายไข่ไก่ในเมืองไทย จนขยายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มาจนบัดนี้
ทรงนำแตงโมพันธุ์ทอมวัตสันจากอเมริกา เปลือกหนา ผลใหญ่ เนื้อหวานกรอบ บางผลหนักถึง 20 กก. รสชาติยอดเยี่ยมนำมาปลูกได้ผลจนคนเรียกติดปากกันว่าแตงโมบางเบิด
ท่านสิทธิพรยังทรงปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ได้มาตรฐาน หาพืชเศรษฐกิจใหม่มาปลูก ใช้แนวคิดไร่นาสวนผสม ทั้งปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว์ เอามูลสัตว์มาทำปุ๋ย เป็นเกษตรแผนใหม่ของประเทศไทย ก็ว่าได้
จุดเปลี่ยนในชีวิตมาถึง เมื่อเกิดกบฎวรเดช ม.จ. สิทธิพร ถูกจับในฐานะผู้ร่วมคณะกู้บ้าน กู้เมืองของพระองค์เจ้าบวรเดช ซึ่งเป็นพระเชษฐาอดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ทรงถูกศาลพิเศษตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ทำให้หม่อมศรีพรหมาต้องรับภาระฟาร์มบางเบิดโดยลำพัง
ทรงใช้ชีวิตในแดนหก บางขวางถึง 7 ปี โดยยังสื่อสารแนะนำการเกษตรกับพระชายาตลอดในช่วงที่มาเยี่ยม ว่าจะต้องปลูกพืชอะไร ต้องดูแลอย่างไร
เมื่อทรงถูกย้ายไปอยู่ที่ตะรุเตา ทรงชวนเพื่อนนักโทษปลูกผัก เลี้ยงเป็ด ตั้งโรงอบเค้กและขนมปัง แจกจ่ายผู้คนบนเกาะ ท่านปฏิเสธคำทูลชวนแหกคุกของพระยาศราภัยพิพัฒ ด้วยเหตุผลว่า แก่แล้ว และยังห่วงงานกสิกรรมที่ฟาร์ม และยังอยากสอนภาษาอังกฤษให้เพื่อนนักโทษด้วย
ในปีที่ 11 ทรงถูกย้ายไปอยู่ทัณฑสถานเกาะเต่า สุราษฎร์ธานี ที่นั่นนับเป็นเกาะนรกไม่มีคนอาศัยเลย ทุกคนทำงานหนัก ถางหญ้า ทำถนน โค่นต้นไม้ แถมเจอพิษมาเลเรียอย่างหนัก แต่ก็รอดมาได้
หลังถูกจองจำ 11 ปี รัฐบาลประกาศนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองทั้งหมด ท่านสิทธิพร คืนกลับสู่ชีวิตเกษตรกรที่บางเบิด
ปี 2490 นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีทูลเชิญท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ ท่านเสนอนโยบายเรื่องสหกรณ์ เพื่อการพึ่งพาตนเองของชาวนา ทรงเสนอให้ยกเลิกพรีเมียม (ภาษีส่งออก) ข้าว

ปี 2510 คณะกรรมการรางวัลแมกไซไซ ติดต่อขอถวายรางวัลแมกไซไซสาขาบริการสาธารณะให้พระองค์ ตอนที่กรรมการรางวัลติดต่อมา ท่านยังตรัสว่า “แปลกนี่ เอารางวัลมาให้ทำไม” เพราะท่านไม่เคยคาดคิดที่จะได้รับรางวัลอะไรเลย
ในขณะที่ พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ทรง ยกย่องว่า ท่านสิทธิพร เป็นบุรุษพิเศษที่นึกถึงคนรุ่นหลัง ท่านชี้ว่า
“อนุชนรุ่นหลัง จะไม่มีโอกาสได้ตำแหน่งดีเท่าบิดาของเขา เพราะทุกคน หวังให้ลูกเข้ารับราชการ แต่ตำแหน่งในราชการมีจำกัด จะต้องมีการแข่งขัน จึงทรงคิดว่า ถ้าไม่มีการเตรียมอาชีพไว้ให้ เด็กรุ่นนี้เติบโตมาก็จะเคว้งคว้าง อาชีพอื่นๆ ก็ยังไม่มีเป็นล่ำเป็นสัน ยังมีจำกัด เว้นแต่กสิกรรม ซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นอาชีพต่ำต้อย ไม่อยากเป็นกัน จึงทรงเลือกเอากสิกรรม ซึ่งมีโอกาสให้อย่างเหลือเฟือ”
ปัญญาชนคนสำคัญในยุคเป็นบรรณาธิการวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ คือ อ. สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ยังถูกท่านสิทธิพรตั้งคำถามอย่างท้าทายว่า
“ปัญญาชน ไม่สนใจปัญหาของชาวไร่ชาวนา บ้างดอกหรือ”
และยังทรงเตือนว่า
“ถ้าคนที่มีความรู้พูดถึงความอยุติธรรมในสังคมโดยไม่รู้ถึงสภาพชาวนาว่า ถูกรีดภาษีทางอ้อมอย่างรุนแรง ก็เท่ากับหลับตาพูด”
ส. ศิวรักษ์ ซึ่งนับเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด ม.จ. สิทธิพร ยังเล่าไว้ว่า
“ท่านสิทธิพร เห็นว่าอนาคตของบ้านเมืองอยู่ที่กสิกรรม เพราะคนไทยเป็นชาวนาชาวไร่มาแต่ดึกดำบรรพ์ และรายได้ของประเทศส่วนใหญ่ก็ยังมาจากการผลิตข้าวขาย แต่ที่ผ่านมา เรามัวแต่เน้นวิชาหนังสือ ให้คนหันไปนิยมการรับราชการและการเป็นเสมียนกันจนชาวไร่ชาวนากลายเป็นคนล้าหลัง กลายเป็นคนไม่รู้หนังสือ เป็นที่ดูถูกดูแคลน ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ประเทศจะล้าหลัง ผู้คนจะอดอยาก ลูกหลาน จะละทิ้งบ้านเรือนไปหากินอาชีพอย่างอื่น ท่านจึงเห็นว่า หากชนชั้นสูงหันมาสนใจกสิกรรม ทำให้เป็นตัวอย่างขึ้นก็อาจช่วยชี้แนวทางให้ชนชั้นกลางหันมายึดอาชีพกสิกรกันมากขึ้นได้”
ส. ศิวรักษ์ ยกย่องเจ้าสามัญชนพระองค์นี้ว่า
“เจ้าพระองค์นี้ เป็นคนดีมาก ไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเองเลย”
ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวยกย่อง ม.จ. สิทธิพร กฤดากร ว่า
“สำหรับนักเศรษฐศาสตร์อย่างผม ผู้มีหน้าที่ในเรื่องเศรษฐกิจการเงินเบื้องต้น เราได้รับประโยชน์เหลือล้นจากข้อสะกิดใจจากท่านสิทธิพร นักบุกเบิกเกษตรว่า ‘เงินทองเป็นมายา ข้าวปลาเป็นของจริง’ อนาคตของเกษตรกรไทยเป็นเรื่องต้องทะนุถนอมอย่างระมัดระวัง ท่านสิทธิพรเป็นปากเสียงให้แก่ชาวไร่ชาวนาสามัญชน เพื่อประโยชน์ของสามัญชนส่วนใหญ่ในประชาชาติไทย และเพื่อความชอบธรรมในสังคม”
เมื่อ ม.จ. สิทธิพร สิ้นชีพิตักษัย นั้น ดร.ป๋วย เขียนไว้อาลัยว่า
“ตราบใดที่ท่านสิทธิพรดำรงพระชนม์อยู่ พวกเราก็ได้เห็นแก่ตาซึ่งตัวอย่างของมนุษย์อัจฉริยะผู้กล้าหาญ และดื้อพอที่จะยึดมั่นในอุดมการณ์ของตนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
หน้าประวัติศาสตร์ ลงบันทึกไว้แล้วว่า ทั้งๆ ที่ไร้อิสรภาพถูกคุมขังถึง 3 คุก แต่เจ้าพระองค์หนึ่งกลับสร้างผลงานยิ่งใหญ่เป็นบรรณาการไว้ในแผ่นดิน
ควรกล่าวได้ว่า ม.จ. สิทธิพร กฤดากร
1. ทรงยกคุณค่าแห่งเหงื่อแรงของชาวไร่ชาวนา ชาวสวน ไว้ในระดับสูง สูงยิ่งกว่าอาชีพรับราชการด้วยซ้ำไป
วาทะของท่านที่ว่า ‘เงินทองเป็นมายา ข้าวปลาเป็นของจริง’ เป็นสัจจะที่ไม่อาจเถียงได้ ไม่ว่า วันก่อนหน้านี้ วันนี้ หรือวันหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ หรือโรค โควิดระบาด
2. ทรงลดชั้นพระองค์จากเจ้าผู้สูงศักดิ์ มาเป็นสามัญชนถือจอบเสียมขุดดิน ทำไร่นาดุจเดียวกับ เกษตรกรไทยทั้งประเทศ เป็นแบบอย่างแห่งการไม่ยึดติดในสถานะอันเลิศหรูของพระองค์เอง
3. ทรงถือธงนำทางเกษตรแผนใหม่ด้วยการลงมือทำเองหลายอย่างที่กลายเป็นมรดกทางการเกษตรของสังคมไทย
4. แม้ในยามสิ้นไร้อิสรภาพ ถูกจองจำถึง 3 คุกขัง ใช้ชีวิตอย่างยากเข็ญเป็นเวลา 11 ปี ไม่ทำให้พระองค์สิ้นหวัง กลับช่วงชิงเวลาศึกษา ทำแปลงเกษตรในคุกขังให้เพื่อนผู้ต้องขัง และคนภายนอกได้ศึกษาแบบอย่างเป็นที่น่ายกย่อง.

ข้อมูลและภาพ จากเพจยอดมนุษย์...คนธรรมดา ม.จ. สิทธิพร กฤดากร

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา