
"...แม้เป็นกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกกล่าวหาพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเกินสอง (2) ปีหรือห้า (5) ปี แล้ว ก็ไม่เป็นการตัดอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะยกคำกล่าวหาที่ได้มีการกล่าวหาไว้แล้วหรือกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นกระทำความผิดขึ้นไต่สวนได้ บทบัญญัติตาม มาตรา 84 (ที่แก้ไขใหม่) ข้างต้น หาใช่อายุความตามประมวลกฎหมายอาญาไม่..."
.............................
หมายเหตุ : คอลัมน์ ‘เจาะฎีกาเด่น’ ข่าวเนติบัณฑิตยสภา เรื่อง ‘กำหนดเวลาระยะเวลาเร่งรัดการไต่สวนและฟ้องคดีกับอำนาจฟ้องของอัยการสูงสุด’ โดย รังสิชัย บรรณกิจวิจารณ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ,มนต์ชัย ชนินทรลีลา ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ และมนตรี จุลเกลี้ยง ทนายความคดีอาญาทุจริตและคดีปกครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2763/2567
อัยการสูงสุด โจทก์
นาย ส. จำเลย
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 93 วรรคหนึ่ง
กำหนดระยะเวลาในการปฏิบัติงานของอัยการสูงสุด รวมทั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จและฟ้องดำเนินคดีภายในหนึ่งร้อยแปดสิบ (180) วันนับแต่วันที่ได้รับรายงานสำนวนการไต่สวน
เอกสารพยานหลักฐานและความเห็นพร้อมสำเนาอิเล็กทรอนิกส์จาก สำนักงาน ป.ป.ช. มาตรา 77 วรรคท้าย บัญญัติว่า แม้อัยการสูงสุด โจทก์ ยื่นฟ้องจำเลย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเกินหนึ่งร้อยแปดสิบ (180) วัน ตามมาตรา 93 วรรคหนึ่ง
แต่มาตรา 93 วรรคสอง บัญญัติให้นำความมาตรา 77 มาใช้บังคับกับการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยอนุโลม
และมาตรา 77 วรรคท้าย ยังบัญญัติต่อไปว่า การฟ้องคดีเมื่อล่วงพันระยะเวลาตามที่กำหนดในมาตรานี้ ย่อมกระทำได้ ถ้าได้ฟ้องภายในอายุความ แต่ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ อัยการ อัยการสูงสุด หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช แล้วแต่กรณีต้องดำเนินการสอบสวน
หากปรากฏว่า การไม่ปฏิบัติภายในระยะเวลาดังกล่าว เกิดจากการจงใจปล่อยปละละเลย หรือประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใด ให้ดำเนินการเพื่อลงโทษผู้นั้นต่อไปโดยเร็ว บัญญัติยกเว้นให้ฟ้องคดีเกินกำหนดระยะเวลา 180 วัน แสดงว่ามิใช่เป็นบทบัญญัติอายุความฟ้องร้องหรือเงื่อนไขในการฟ้องหรือการดำเนินคดี
โจทก์ ฟ้อง จำเลย ต่อศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 (เดิม) มาตรา 157 (เดิม) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 123/1 มาตรา 123/2 มาตรา 172 และมาตรา 173 ภายในอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95
และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 93 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 77 วรรคท้าย โจทก์มีอำนาจฟ้อง (นันทิกา จิวัธยากูล วิธูร คลองมีคุณ ศุภร พิชิตวงศ์เลิศ)
ข้อสังเกต
มาตรา 93 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้กำหนดระยะเวลาการฟ้องของคดีของอัยการสูงสุด รวมทั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไว้ โดยมีระยะเวลาการฟ้องคดี 180 วัน
โดยคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับดังกล่าว ได้วางหลักเกณฑ์ว่าหากอัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องเกินกำหนดระยะเวลาก็มีอำนาจฟ้อง หากยังอยู่ภายใต้อายุความ เนื่องด้วยมิใช่บทบัญญัติอายุความฟ้องร้องหรือเงื่อนไขการฟ้องหรือการดำเนินคดี แต่อย่างใด
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาไว้ เช่น ตามมาตรา 48 เรื่อง ระยะเวลาการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่กำหนดให้วินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด ซึ่งต้องไม่เกินสอง (2) ปี นับแต่วันเริ่มดำเนินการไต่สวน
และตามพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 มาตรา 50 ก็มีกำหนดในเรื่องระยะเวลาการไต่สวนไว้ว่าให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. มีอำนาจดำเนินการไต่สวน แต่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสอง (2) ปี นับแต่วันที่ผู้ถูกกล่าวหานั้นพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือวันที่มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นในกรณีที่มีการกล่าวหาเมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นพันจากตำแหน่ง แล้วแต่กรณี
นอกจากนี้ ยังมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5076 - 5079/2566 วินิจฉัยในทำนองว่า แม้พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 จะกำหนดให้กล่าวหาต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่เกินสองปีและห้าปีก็ตาม
แต่มิใช่บทบัญญัติที่เป็นการตัดอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการไต่สวนและวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิด ต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมหรือความผิดที่เกี่ยวข้องกันตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19 (3) (เดิม) และมาตรา 19 (4) (ที่แก้ไขใหม่)
นอกจากนี้ หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิด ต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็มีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริงได้
ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 88 และมาตรา 84 (ที่แก้ไขใหม่) ที่บัญญัติว่า ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคหนึ่งได้พ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเกินห้าปีแล้ว
ย่อมไม่เป็นการตัดอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะยกคำกล่าวหาที่ได้มีการกล่าวหาไว้แล้วหรือกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นกระทำความผิดขึ้นไต่สวนได้ ทั้งนี้ต้องไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น พ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วแต่กรณี
เห็นได้ว่า ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 88 และมาตรา 84 (ที่แก้ไขใหม่) ต่างก็มีความมุ่งหมายหรือเจตนารมณ์ของกฎหมายว่า
แม้เป็นกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกกล่าวหาพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเกินสอง (2) ปีหรือห้า (5) ปี แล้ว ก็ไม่เป็นการตัดอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะยกคำกล่าวหาที่ได้มีการกล่าวหาไว้แล้วหรือกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นกระทำความผิดขึ้นไต่สวนได้ บทบัญญัติตาม มาตรา 84 (ที่แก้ไขใหม่) ข้างต้น หาใช่อายุความตามประมวลกฎหมายอาญาไม่
ในส่วนของศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขแดง ที่ ฟบ.39/2566 ก็ได้มีการวินิจฉัยระยะเวลาการไต่สวน ข้อเท็จจริงตามมาตรา 48 ไว้ในทำนองว่า
"ระยะเวลาการดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นเพียงระยะเวลาเร่งรัดเพื่อให้ทำการไต่สวนเสร็จสิ้นโดยเร็ว ดังนั้น แม้การไต่สวน ข้อเท็จจริงดังกล่าว จะใช้ระยะเวลาดำเนินการเกินกว่ากรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ก็มิได้มีผลทำให้การไต่สวนข้อเท็จจริงที่เป็นไปโดยชอบต้องเสียไปแต่อย่างใด"
กล่าวโดยสรุป ระยะเวลาดังกล่าวข้างต้นเป็นระยะเวลาเร่งรัดเพื่อให้เกิดกระบวนการเร่งรัดในกระบวนการดำเนินการตามกฎหมายระบุให้เสร็จภายในระยะที่รวดเร็วตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้แม้จะไม่กระทำการภายในระยะเวลาก็ไม่มีผลให้การกระทำนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่มีอำนาจฟ้อง หรือการไต่สวนข้อเท็จจริงเสียไป
ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลของโดยสภาพการบริหารงานภาครัฐหรือเพื่อโดยสภาพของการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนตามที่กฎหมายไม่อาจจะกระทำให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา