"...คุณขวัญจึงเริ่มต้นเล่าว่า ตนเองถูกส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่อายุ 13 ปี แต่ด้วยความสนใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงได้ศึกษาถึงพุทธประวัติและพระธรรมมาตั้งแต่เด็ก และเมื่อเรียนจนปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์และการเงินจาก University College London (UCL) จึงกลับเมืองไทยมาทำงานธนาคาร แต่ทำได้เพียง 2 ปี ต้องมารับช่วงธุรกิจกระจกและอลูมิเนียมต่อจากคุณพ่อด้วยวัยเพียง 25 ปี ซึ่งตอนนั้น ธุรกิจไม่สู้ดี ต้องมาเรียนรู้ใหม่ ตั้งแต่การออกแบบ หาวัสดุ ไปจนถึงการตลาด จนกระทั่งได้ลูกค้ารายใหญ่รายแรกที่เชียงใหม่ เป็นจุดเปลี่ยนทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ และถือเป็นความบังเอิญที่ไม่บังเอิญ ทำให้ศาลาธรรมหลังนี้ก่อเกิดขึ้น..."
กิจวัตรประจำของผมในทุกเช้าคือ ออกไปเดิน วิ่ง ที่สวนรถไฟ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและระดับฝุ่นละออง PM 2.5 แต่ที่ไม่เคยพลาดคือ ไปนั่งดื่มกาแฟที่ร้าน “เส-นานิยม” อยู่ตรงซอยกลางภายในหมู่บ้านเสนานิคม อ่านหนังสือพิมพ์พร้อมไถมือถือดูข้อความในโซเชียลมีเดีย ก่อนจบด้วยการสนทนากับน้องเอมเจ้าของร้าน และน้องกุ้งเจ้าของร้าน “ส้มกุ้ง” ร้านน้ำส้มคั้นประจำซอย พร้อมลูกค้าประจำจนกลายเป็นสังคมชาวกาแฟย่อย ๆ ในหมู่บ้านไปแล้ว
น้องเอมและน้องกุ้งรับทราบว่า ผมเขียน Weekly Mail ทุกสัปดาห์ แต่หลังจากเกษียณยังไม่มีโอกาสได้นำบทสัมภาษณ์เรื่องราวชีวิตจริงของบุคคลที่น่าสนใจมาถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รับรู้จนเมื่อวันหนึ่งน้องเอมเข้ามาคุยด้วยความตื่นเต้นว่า ลูกค้าประจำท่านหนึ่งให้ไปส่งน้ำส้มถึงบ้านและภาพที่ปรากฏต่อหน้าคือ สิ่งปลูกสร้างที่ราวกับว่า ยกอุโบสถทั้งหลังมาตั้งไว้ในบริเวณบ้าน ดูร่มรื่น เพราะรายล้อมไปด้วยพันธุ์ต้นไม้ใหญ่และสระบัว จนต้องขยี้ตาหลายหนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้อยู่ในบริเวณวัด
เมื่อได้รับฟัง ทำให้ผมเกิดความสนใจ จึงขอร้องให้น้องเอมและน้องกุ้งช่วยติดต่อให้ผมได้มีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชม และสัมภาษณ์เจ้าของบ้านถึงความเป็นมาของศาลาธรรมแห่งนี้ จนได้รับวันนัดหมายเมื่อบ่ายของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
บ้านหลังดังกล่าวอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเสนานิคมมากนัก ซอยที่เข้าไปมีบ้านพักอาศัยตั้งอยู่เรียงรายแต่เมื่อเข้าไปถึงบ้านเป้าหมายที่อยู่สุดซอย เหมือนกับอยู่อีกโลกหนึ่ง เพราะมีสิ่งปลูกสร้างเป็นศาลาธรรมทรงล้านนาประยุกต์ 2 ชั้น ตั้งอยู่ตรงหน้า มีคุณณัฎฐ์วสุ จตุรพิธอมร (คุณขวัญ) เจ้าของบ้าน คุณแม่ (คุณธัจฉรา จตุรพิธอมร) พร้อมช่างศิลปิน 2 ท่านคือ คุณวีรยุทธ ไมตรี (ช่างบอล) ช่างจิตรกรรมฝาผนัง และคุณสาธิต ผาแก้ว (ช่างเสก) ช่างแกะสลักไม้คอยให้การต้อนรับ
คุณขวัญเชื้อเชิญให้เข้าไปภายในบริเวณศาลาธรรม เป็นห้องโถงดูโล่ง เรียบง่าย ทำเพดานสูง ช่วยให้ใจรู้สึกสงบ มีพระพุทธสิงห์หรือพระพุทธสิหิงค์ เป็นพระประธานประดิษฐานอยู่พร้อมพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ รวมถึงเครื่องสักการะบูชาจัดวางในตู้กระจกที่ตั้งอยู่ด้านข้างผนัง คุณขวัญไม่รีรอ เริ่มต้นแนะนำช่างบอลและช่างเสก พร้อมอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายในศาลาธรรม แต่ผมเบรคไว้ก่อน เพื่อขอทราบถึงแรงบันดาลใจในการสร้างศาลาธรรมแห่งนี้

คุณขวัญจึงเริ่มต้นเล่าว่า ตนเองถูกส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่อายุ 13 ปี แต่ด้วยความสนใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงได้ศึกษาถึงพุทธประวัติและพระธรรมมาตั้งแต่เด็ก และเมื่อเรียนจนปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์และการเงินจาก University College London (UCL) จึงกลับเมืองไทยมาทำงานธนาคาร แต่ทำได้เพียง 2 ปี ต้องมารับช่วงธุรกิจกระจกและอลูมิเนียมต่อจากคุณพ่อด้วยวัยเพียง 25 ปี ซึ่งตอนนั้น ธุรกิจไม่สู้ดี ต้องมาเรียนรู้ใหม่ ตั้งแต่การออกแบบ หาวัสดุ ไปจนถึงการตลาด จนกระทั่งได้ลูกค้ารายใหญ่รายแรกที่เชียงใหม่ เป็นจุดเปลี่ยนทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ และถือเป็นความบังเอิญที่ไม่บังเอิญ ทำให้ศาลาธรรมหลังนี้ก่อเกิดขึ้น
คุณขวัญเล่าเสริมต่อว่า ด้วยต้องเดินทางขึ้นไปเชียงใหม่บ่อยครั้ง จึงได้มีโอกาสไปนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมภายในโบสถ์วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ต่อหน้าพระพุทธสิงห์ มีความรู้สึกว่า พระพุทธรูปองค์นี้ช่างงามเหลือเกิน ช่วยให้จิตสงบ สักครั้งหนึ่งในชีวิตอยากมีท่านไว้กราบไหว้บูชาที่บ้านเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ประกอบกับได้อ่านพุทธตำนาน พระเจ้าเลียบโลกที่มีอุบาสกสร้างรูปพระพุทธเจ้าเพื่อไหว้สักการะบูชา พร้อมสร้างกุฏิ วิหาร ไว้ในที่ใกล้บ้านของตน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น คุณขวัญจึงได้ปรึกษากับพี่สาวและน้องชายที่ต่างเห็นดีด้วย แต่ก็ได้เพียงแต่คิด เพราะพื้นที่บริเวณบ้านยังไม่เพียงพอ แต่ด้วยปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวครั้งแล้วครั้งเล่าแบบไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะเจ้าของที่ดิน 3 แปลง พร้อมใจกันมาเสนอขายที่ดินที่ถมแล้วเสร็จสรรพ ทำให้คุณขวัญสามารถขยายพื้นที่หน้าบ้านเพียงพอในการสร้างศาลาธรรม แต่อุปสรรคไม่ได้มีเพียงแค่นั้น เพราะการก่อสร้างต้องการทุนทรัพย์มาก แต่ปาฏิหาริย์ครั้งที่สองได้เกิดขึ้นเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้ครอบครัวสามารถเคลียร์หนี้ จึงได้นำเงินมาเป็นเงินมัดจำในการก่อสร้างได้สำเร็จ
ศาลาธรรมแห่งนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2566 พร้อมตั้งชื่อว่าศาลา “จตุวรโพธิ” ออกแบบโดยคุณชยพล ทรงวุฒินนท์ (ช่างบิ๊ก) ศิลปกรรมซุ้มโขงประตูด้านหน้าก่อฉาบประดับลายปูนปั้น ถอดแบบจากลายคำผนังหลังพระสิงห์ วิหารลายคำ วัดพระสิงห์ และประดับลายปูนปั้นผนังด้านหน้าลวดลายแมงสี่หูห้าตาและลายพญาสิงห์ ตามตำนานล้านนา ที่เชื่อว่าผู้ที่บูชาจะประสบความสำเร็จร่ำรวยเงินทอง และนำมาซึ่งความยิ่งใหญ่ มั่นคง น่าเกรงขาม แต่ที่โดดเด่นที่สุดหนีไม่พ้นเพดานของศาลาธรรมแห่งนี้ เพราะประดับด้วยแก้วจีน มีดาวบนเพดานเปรียบเสมือนท้องฟ้า และพระพุทธเจ้าอยู่กลางจักรวาล ตรงกลางเป็นไม้แกะสลักรอยพระหัตถ์ ทำให้คนที่เข้ามาในศาลาเปรียบเสมือนได้อยู่ภายใต้ร่มเงาพระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ศาลาจตุวรโพธิยังมีเรื่องรายละเอียดอีกมาก ทั้งการหล่อพระพุทธสิงห์ จิตรกรรมบนฝาผนังฐานและไม้แกะสลัก รวมทั้งเรื่องราวของช่างบอล และช่างเสก ช่างที่ปิดทองหลังพระ เพราะไม่เพียงแต่มีส่วนร่วมในการสร้างศาลาจตุวรโพธิ แต่ถือเป็นช่างรุ่นใหม่ที่ช่วยอนุรักษ์ศิลปะไทย ซึ่งผมจะได้ขยายความนำมาเขียนใน Weekly Mail สัปดาห์หน้า
รณดล นุ่มนนท์
31 มีนาคม 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา