"...ธุรกิจนอมินีเป็นจุดเริ่มต้นของการหลอกลวง เอารัดเอาเปรียบ ฉ้อโกงและคอร์รัปชัน ที่สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสังคมและเศรษฐกิจไทย จำเป็นยิ่งที่รัฐปราบปรามเข้มงวดจริงจัง ไม่เห็นแก่หน้าใคร..."
ธุรกิจอำพรางหรือนอมินี (Nominee) มักซ่อนตัวโดยใช้บุคคลหรือนิติบุคคลไทยเป็นฉากหน้า มีตั้งแต่พวกทำธุรกิจหลักแสนบาทไปถึงพันล้านบาทต่อเดือน บางรายหากินเงียบๆ ขณะที่บางรายกล้าแข็งใหญ่โตไม่เกรงกฎหมายไทย
นอมินีจะทิ้งร่องรอยบางอย่างให้ตรวจจับได้เสมอเช่น หลักฐานการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ข้อมูลที่ให้แก่ธนาคารเมื่อไปเปิดบัญชี พฤติกรรมที่ชาวบ้านหรือคนในวงการธุรกิจรู้เห็นเป็นประจำ รวมถึงข้อมูลการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน โดยพบว่านอมินี่จำนวนมากทำผิดซ้ำๆ หลายกรณี
อะไรทำให้เอ๊ะ..ว่าเขาเป็นนอมินีหรือเปล่า?
หากยังไม่เกิดเป็นข่าวหรือคดีขึ้นมาก่อน พฤติกรรมชวนสงสัยให้ธนาคารต้องตรวจสอบ เช่น กู้เงินมากเกินตัว ประวัติธรรมดาแต่ทำโครงการใหญ่ลงทุนเป็นร้อยล้าน ใช้เบอร์โทรศัพท์หรือที่ตั้งบริษัทเดียวกับพวกที่เคยเป็นคดีมาก่อนหน้า ส่วนพวกนอมินี่ขนาดเล็กหากินในพื้นที่จำกัด คนที่มักรู้เห็นก่อนคือชาวบ้านและคนทำธุรกิจประเภทเดียวกันหรือเป็นคู่แข่ง แต่การดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ไม่เคยเห็น มีแต่ข่าวการเรียกเก็บสินบนหรือส่วยรายเดือน
ใครมีหน้าที่ต้องจัดการ
ป.ป.ง. มีอำนาจโดยตรง มีบุคลากรพร้อมเทคโนโลยีพอสมควร ที่สำคัญมีอำนาจสั่งให้ธนาคารและสถาบันการเงินต้องเก็บข้อมูลและรายงานพฤติกรรมการเงินของลูกค้าตามที่กำหนดอีกด้วย เช่น ประวัติข้อมูลส่วนตัว ธุรกิจการค้า รายได้และที่มาของรายได้ สถานะการเงิน เป็นต้น
ข้อจำกัดคือ ป.ป.ง. ชำนาญการตรวจสอบเส้นทางการเงินบุคคลธรรมดามากกว่านิติบุคคล
กรมสอบสวนคดีพิเศษมีส่วนในการทำคดีประเภทนี้บ้าง ขณะที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ชี้ว่ามีธุรกิจเข้าข่ายนอมินีมากถึง 2.6 หมื่นราย โดยผู้เขียนเข้าใจว่ากรมนี้ขาดทรัพยากร และมีภาระกิจหลักคือการอำนวยความสะดวกในการจัดตั้งนิติบุคคล จึงยังมิได้ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบเชิงลึกผู้มาใช้บริการ
หน่วยงานอื่นของรัฐที่นอมินีไปติดต่อ เช่น ยื่นประมูลจัดซื้อจัดจ้าง ขอเช่า ขอสัมปทาน ฯลฯ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของหน่วยงานเอง แต่ไม่ค่อยทำกัน เหตุเพราะไม่มีอำนาจโดยตรง ขาดบุคลากรที่ชำนาญ ขาดเครื่องมือหรือกลไกที่จะเรียกข้อมูลจากธนาคารหรือหน่วยงานรัฐอื่น เป็นต้น
ผู้รับผลประโยชน์แท้จริง (Beneficial Ownership)
การทลายธุรกิจอำพรางที่ผิดกฎหมาย มีเป้าหมายสำคัญคือ ค้นหาตัวผู้มีอำนาจสั่งการหรือรับผลประโยชน์ที่แท้จริงของกิจการนั้น ซึ่งอาจไม่มีชื่อปรากฏในบริษัทที่ถูกตรวจสอบเริ่มต้นเลย อุปสรรคคือพวกเขามักใช้ผู้ถือหุ้นเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลต่างชาติและถือหุ้นไขว้กันหลายชั้น อาจมากถึง 3 – 5 ชั้น ทำให้การตรวจสอบทำได้ยาก ยิ่งหากบริษัทผู้ถือหุ้นนั้นจดทะเบียนในประเทศที่ปกปิดความลับลูกค้า (Tax Haven Country) เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง หมู่เกาะเคย์แมน ฯลฯ การตรวจสอบก็แทบจะเป็นไปไม่ได้
การตรวจสอบเส้นของเงินที่ถูกโอนกระจายไปเป็นทอดๆ จนกว่าจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินคริปโต ทำได้ง่ายกว่า เว้นแต่บัญชีธนาคารนั้นอยู่ในประเทศที่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลลูกค้าเหมือนการจดทะเบียนบริษัท
ทั้งนี้การให้ข้อมูลเพื่อจดทะเบียนบริษัทและเปิดบัญชีธนาคาร ต่างยึดหลักการแสดงตนด้วยความบริสุทธิ์ใจ (Self-Declare) หากภายหลังพบว่าเป็นข้อมูลเท็จย่อมถือเป็นความผิดได้
ทำไมธนาคารต่างชาติทำได้ดีกว่าไทย
ธนาคารต่างชาติมักมีศักยภาพสูงกว่าเพราะมีฐานข้อมูลลูกค้าทั่วโลกและลงทุนเทคโนโลยีมากกว่า อาจเป็นเพราะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของแต่ละประเทศที่เขาไปลงทุน
สำหรับประเทศไทยกฎหมายยังถูกทำให้หละหลวม การบังคับใช้ไม่คงเส้นคงวา เอื้อให้อภิสิทธิ์ชน บวกกับมีคอร์รัปชันบ่อยครั้ง ธนาคารจึงมีมาตรฐานต่างกันเพื่อลดต้นทุนและเน้นความสะดวกเอาใจลูกค้าของตน
บทสรุป
ธุรกิจนอมินีเป็นจุดเริ่มต้นของการหลอกลวง เอารัดเอาเปรียบ ฉ้อโกงและคอร์รัปชัน ที่สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสังคมและเศรษฐกิจไทย จำเป็นยิ่งที่รัฐปราบปรามเข้มงวดจริงจัง ไม่เห็นแก่หน้าใคร
บทความโดย :
มานะ นิมิตรมงคล
ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
19 มีนาคม 2568