“I don’t know why people expect art to make sense. They accept the fact that life doesn’t make sense.” (ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราถึงหวังว่าศิลปะดูมีเหตุผล พวกเค้าควรยอมรับว่าชีวิตคนเรามันไร้ซึ่งเหตุผล)
16 มกราคม 2568 โลกได้สูญเสีย ผู้กำกับผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกไป เค้าคือชายผู้มอบประสบการณ์ “ฝันร้าย” ให้กับใครหลายคน ชื่อของเค้าคือ David Lynch ผู้กำกับเจ้าของผลงานสุดประหลาดอย่าง The Elephant Man , Blue Velvet , Mulholland Drive และอื่นๆ เค้าเสียชีวิตด้วยโรคถุงลมโป่งพองจากการที่เขาสูบบุหรี่มาตลอดชีวิต ในวัย 78 ปี
มีคนเคยกล่าวว่า คนบนโลกนี้มีอยู่ 2 ประเภทคือคนที่ไม่เคยดูหนังของ David Lynch และ คนที่เคยดูหนังของ David Lynch เนื่องจากความประหลาดของวิธีการเล่าเรื่องที่แหกทุกขนมธรรมเนี่ยมที่หลายๆคนดูมา แต่กลับมีรสชาติที่อร่อยแบบบอกไม่ถูก เหมือนไปกินอาหารที่คุณคิดว่าไม่น่าจะกินได้แต่มันกลับอร่อย จนหนังของเค้ามีชื่อเรียกแนวของตัวเองว่า Lynchian หากจะเปรียบว่าหนังของเค้าคืออะไร หลายคนมักบอกว่ามันคือภาพจากฝันร้าย ที่ดูจะเกินจริง แต่ยังไม่ถึงขั้นแฟนตาซี โทนเรื่องของเค้ามักจะเล่าเรื่องด้านมืดของจิตใจมนุษย์ตามสไตล์หนัง Film Noir บวกกับสไตล์ของงานภาพที่ดูหม่นหมองและน่ากลัวไปพร้อมๆกัน ช่วยเพิ่มเอกลักษณ์ที่ยากจะลอกเลียนแบบของ David Lynch เพื่อเป็นการลำลึกถึงผลงานของเค้า ผมจึงขอนำหนังเรื่องแรกที่ผมได้รับชมอย่าง Lost Highway มาเล่าให้ฟังกันครับ
เฟร็ด แมดิสัน นักแซกโซโฟนหนุ่ม ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนลงมือฆ่า เรเน่ ภรรยาสาวสวยของเขาทั้ง ๆ ที่สถานการณ์เต็มไปเงื่อนงำแปลกประหลาด ศาลตัดสินประหารชีวิตเฟร็ด แต่แล้วในแดนประหารนั้นเองจู่ ๆ เขาก็กลายร่างอย่างไม่รู้สาเหตุไปเป็นชายหนุ่มชื่อ พีท เดย์ตัน ผู้มีชีวิตแตกต่างจากเฟร็ด อย่างสิ้นเชิง เมื่อพีทได้รับการปล่อยตัวออกมา เส้นทางของทั้งสองก็เริ่มโคจรมาบรรจบกัน ภายใต้แผนการพิสดารลี้ลับที่บงการโดยหัวหน้าแก๊งอาชญากรตัวเอ้นาม ดิ๊ก โลรองต์
ในสมัยที่หนังเรื่องนี้ได้ฉาย ผู้ชมและนักวิจารณ์จำนวนมากต่างพากันตั้งคำถามว่า "หนังต้องการจะพูดเรื่องบ้าบอคอแตกอะไร?" ทุกอย่างดูไร้ซึ่งเหตุและผล เฟร็ด ที่อยู่ๆกลายเป็นอีกตัวละครไปเลย หรือคนที่หน้าเหมือน เรเน่ แต่ดันชื่อ อลิซ ? หรือตอนจบที่กลายมาเป็นตอนเปิดเรื่องแบบงงๆ ถ้าหากเราจะพูดถึงเรื่อง Lost Highway ให้พอเข้าใจ คงต้องยกคำว่า David Lynch เคยกล่าวไว้ว่า
“I don’t know why people expect art to make sense. They accept the fact that life doesn’t make sense.” (ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราถึงหวังว่าศิลปะดูมีเหตุผล พวกเค้าควรยอมรับว่าชีวิตคนเรามันไร้ซึ่งเหตุผล)
หลายๆเรื่องของเค้ามักมีสิ่งที่ทำให้เรารู้สึก “เหมือนอยู่ในฝัน” “มึนงง” และ “เหมือนคนเพิ่งตื่น” เช่นเดียวกับ Lost Highway ที่พาเราดำดิ่งสู่อาการเช่นนี้
ฉากเปิดเรื่องของหนังเรื่องนี้ เป็นเพียงแค่ ภาพถนนที่เราไม่รู้ว่ามันจะไปจบลงที่ใด แม้เแส่งจะสอดส่องไปด้านหน้ารถ แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า "ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน" ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต สถานที่ สิ่งของต่างๆ มีเพียงแค่ความมืดที่คอยเดินทางไปกับ เราพร้อมกับความเร็ว และไร้ซึ่งจุดหมาย.... พร้อมเพลงประกอบ I'm Deranged ของ David Bowie ที่เป็นการใบ้ถึงความรู้สึกของตัวละครในตอนนี้ เหมือนกับท่อนที่ว่า "And the rain sets in It's the angel-man I'm deranged....."
จุดหมายมาบรรจบที่บ้านของ เฟร็ด แมดิสัน นักแซกโซโฟนที่กำลังระหองระแหงในชีวิตคู่กับ กับภรรยาสาวสุดสวย เรเน่ ตั้งแต่ฉากแรก ก็ถูกเล่าเรื่องด้วยใบหน้าครึ่งหนึ่งที่มือมิด มือข้างขวาจุดบุหรี่ ใบหน้าเครียด หวาดระแวง คงเป็นเพราะ เค้ารักภรรยามาก จนกลัวว่าเธอจะนอกใจเค้า ทำให้เค้าเริ่มที่จะวางกล้องไว้ในบ้าน แล้วแอบส่งจดหมายมาช่วงเช้าๆเพื่อเป็นหลักฐานการนอกใจของ เรเน่ ทุกครั้งที่เค้าเล่น แซกโซโฟน เค้าเล่นมันด้วยความบ้าคลั่ง เพื่อจะลืมความรู้สึก หวาดระแวง และสับสนของตัวเองออกไป แต่อยู่ๆเช้าวันนี้ก็มีเสียงกดออดลึกลับพร้อมกับเสียงปริศนาว่า "ดิ๊ก โลรองต์ตายแล้ว"
หากถามว่าแล้วอะไรคือเหตุที่ทำให้ เรเน่ นอกใจ มีหลายๆฉากที่สื่อว่า เฟร็ด นั้นเป็นคนที่หวงภรรยาของเค้าเกินจนทำให้ เรเน่ เกิดความหวาดกลัว สูญความเป็นตัวเอง สังเกตไดจากฉากที่ เฟร็ด โทรหาภรรยาของตัวเอง แต่เธอไม่รับสาย หน้าของเค้าฉาบไปด้วยสีแดงที่ส่อถึงความโกรธ และความคิดแย่ๆของตัวเค้าเอง
ในระหว่างที่ทั้งสองมี เซ็กส์ เรเน่ นอนแน่นิ่งเหมือนตุ๊กตาไร้อารมณ์ ส่วน เฟร็ด พอใจเป็นอย่างมากเพราะได้เป็นคนอยู่ข้านบน ใบหน้าของเรเน่ บ่งบอกถึงรักที่ที่กำลังจะกลายเป็นสีจางๆ การกระทำของเธอ เริ่มทำให้ เฟร็ด สิ้นความมั่นใจของตัวเองไป ก่อกำเนิดความระแวงขึ้นมา เค้าเริ่มฝันถึงภรรยาที่ขึ้นคร่อมเค้า แต่ใบหน้ากลับกลายเป็นชายปริศนา เค้าได้พบกับชายปริศนาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ในความฝัน เค้ามายืนอยู่ในงานปาร์ตี้ และตรงมาแนะนำตัว พร้อมหยิบโทรศัพท์ให้โทรกลับไปหาบ้านตัวเอง สิ่งที่พบคือเป็นเสียงของชายปริศนาที่ยืนอยู่หน้าเค้า เป็นการบอกได้ว่า สิ่งนี้มีตัวตนทั้งในความเป็นจริง และฝัน
จิตใจของ เฟร็ด เริ่มไม่ไหว หลังจากที่เค้าถึงบ้าน เค้าได้พบกับภาพสะท้อนตัวของเค้า เค้าตื่นเช้ามาพบกับเทปปริศนา วางหน้าบ้าน กลายเป็นว่านั้นคือ วิดิโอหลักฐานว่าเค้าฆ่าภรรยาของเค้าอย่างโหดร้าย ระหว่างที่รอการประหารชีวิต ความเงียบเข้ามา สิ่งที่ทำงานคือสมอง เฟร็ด ได้เริ่มเข้าสู่ภวังค์จิต ของจินตนาการ เค้าเริ่มคิดว่า หากว่าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติและเค้ามีชีวิตที่อยากจะเป็น จึงเกิดกลายเป็นฉากที่ทำให้คนดูเกิดความ งง อย่างแน่นอน ว่า เฟร็ด แปลงร่างกลายเป็น ตัวละครอีกตัวได้อย่างไร????
เค้ากลายเป็นคนอีกคนที่ชื่อว่า พีท เดย์ตัน ที่อยู่ดีๆสลับตัวกับ เฟร็ด ตำรวจถึงกับงงว่าแล้ว เฟร็ด แล้วหายไปไหน ทำให้พีทได้รับการปล่อยตัว พีทเป็นช่างซ่อมรถ ที่ชีวิตต่างกับ เฟร็ดแบบสิ้นเชิง ทั้งลักษณะการแต่งตัวแบบฮิปปี้ ไม่ชอบฟังเพลงแจ๊ส เค้ามีแฟนสาว แต่ก็เหมือนไม่ได้จะรักเธอมาก มีไว้เพียงแค่ระบายความใคร่เฉยๆ
วันหนึ่งที่อู่ซ่อมรถเค้าได้พบกับสาวที่เค้าใฝ่ฝันมานาน เธอคือ อลิซ หญิงสาวที่หน้าตาคล้ายกับ เรเน่ เพียงแต่ว่าสีผมของเธอเป็นสีบลอนด์ การแต่งตัวที่เร้าร้อน โลกทั้งใบดูหมุนช้าลง ราวกับได้พบกับนางฟ้ามาโปรด แต่ก็ดูอันตราย อย่างบอกไม่ถูก เธอเป็น เป็นภรรยาเก็บของชายแก่ที่มีรสนิยมประหลาด ชื่อว่า เอ็ดดี้ ที่เป็นคนที่ พีท รู้จักเป็นอย่างดี แต่สบตาได้เพียงไม่นานทั้งสองก็ได้ร่วมรัก จิตใจของพีทไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนถึงขนาดไปขอเลิกกับแฟนของตัวเอง
แต่จากนั้นได้ไม่นาน อลิซเริ่มโทรมาบอกว่าเธอไม่ว่างที่จะมาหา พีทได้แต่หวนคะนึงคิดถึง ไม่ต่างไปจากยาเสพติด คิดถึงได้ไม่นาน อลิซ โทรมาให้มาเจอที่โรงแรม ก่อนที่จะบอกว่า เอ็ดดี้ จับได้ว่าเธอเล่นชู้กับพีท เลยขอให้พีทหนีไปด้วยกันสองคน แต่การจะหนีไปได้ต้องมีเงินทุน เธอจึงบอกให้พีทไปปล้นจาก เเอนดี้ คนถ่ายหนังโป๊ที่ อลิซ เคยทำงานด้วย แต่ก่อนวันที่จะไปตามแผนได้มีโทรศัพท์จากเอ็ดดี้โทรมา เค้าได้บอกว่า เพื่อนของเค้าต้องการจะคุยกับ พีท เสียงที่ออกมานั้นเป็นเสีงที่เค้าต้องคุ้นเคยแน่นอน เพราะนั้นคือเสียงของ ชายปริศนาที่ เฟร็ด เคยเจอ เหมือนมาเผื่อย้ำเตือนให้ตื่นขึ้นมาอยู่กับความเป็นจริงได้แล้ว.....
หลังจากนั้นด้วยความตื่นตระหนก พีทเลยรีบไปปล้นแอนดี้ ที่บ้านของแอนดี้เค้าได้เปิดหนังโป๊ขึ้นโปรเจ็คเตอร์กลางบ้านเป็นภาพของอลิซร่วมรักกัน พีท ไม่เคยเห็นใหน้าที่พอใจของ อลิซ แบบนี้ ก่อนที่เสียงปืนจะดังลั่นออกมา อลิซ เดินลงมาและทั้งคู่จึงรีบเก็บของแล้วหนีไปด้วยกัน ทั้งสองมาถึงกระท่อมหลังหนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ร่วมรักกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับต่างไป เพราะ อลิซ นั้นเป็นคนที่อยู่ด้านบนของ พีท หน้าของเธอไม่ต่างไปจากสาวที่อยู่ในหนังโป๊ พีท ได้แต่กล่าวซ้ำๆว่าเค้าต้องการเธอก่อนที่ อลิซ จะตอบว่า "You’ll never have me" (ฉันไม่มีวันเป็นของคุณ) หลังจากนั้น พีท ก็กลายร่างกลับเป็น เฟร็ด คนเดิม ราวกับว่าเวลาของความฝันได้จบลง คงได้เวลาที่ต้องตื่นแล้ว
อลิซ ได้หายไปกำความมืดเหลือแค่เพียงกระท่อมและรถที่จอดไว้ แต่อยู่ดีๆในกระท่อม ชายปริศนา ก็ได้ยืนรอเค้าอยู่ พร้อมกล้องวิดิโอที่บันทึกเหตุการณ์ไว้ทั้งหมด เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่าแท้จริงแล้ว ชายปริศนาก็คือ เฟร็ด เองนั้นแหละ ก่อนที่ เฟร็ด จะรีบขี่รถหนีออกไป
เรื่องราวความจริงเริ่มปรากฏออกมา เฟร็ด ได้ขี่รถไป ที่ Lost Highway Hotel เฟร็ด ได้รู้ว่า ดิ๊ก โลรองต์ (เอ็ดดี้) เป็นคนที่แอบเล่นชู้กับ เรเน่ เค้าจึงตามไปหาอย่างเลือดเย็น ก่อนที่จะเอาศพมาอำพรางที่กระท่อมเดิมที่เคยเจอกับชายปริศนา ก่อนที่ เฟร็ด จะเดินทางกลับไปบ้านของเค้าและกดกริ่งพร้อมพูดว่า "ดิ๊ก โลรองต์ตายแล้ว" แล้วเค้าก็เริ่มที่จะขับรถหนีตำรวจบนถนนเส้นเดิมอีกครั้ง
สิ่งที่ Lost Highway ต้องการจะสื่อออกมาสำหรับผมแล้วคงจะเป็นอย่างชื่อเรื่องที่บอกถึงการสูญเสียเส้นทางจนไม่สามารถเดินทางต่อได้ ปัญหาของเรื่องเกิดจากปัญหาคู่ที่เกิดความไม่เชื่อใจกันซึ่งกันและกัน จนเกิดความระแวง จนเป็นเหตุให้ เฟร็ด ฆ่าภรรยาของตัวเอง เฟร็ดไม่เพียงแค่สูญเสีย เส้นของของชีวิต แต่เค้ายังสูญเสียความเป็นตัวเอง จากการเริ่มจินตนาการดำดิ่งถึงคนอีกคน ที่ดีกว่าตัวเอง จนเริ่มสูญเสียอัตลักษณ์ การเป็นเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับได้ หนังเรื่องนี้ได้สอนให้เราได้เข้าใจถึงชีวิตคู่ที่เริ่มไม่หันหน้าเข้าคุยกัน จนกลายเป็นกรงขังอิสรภาพของอีกฝ่าย