"...การศึกษาของมนุษย์ก็เป็นการจำลองความจริง... มนุษย์สมัยก่อนท้าทายอำนาจและความรู้ สามารถสร้างความหมายใหม่ให้กับสังคมได้เรื่อย ๆ ดูได้จากประวัติศาสตร์ทางปรัชญาหรือความก้าวหน้าวิชาการ แต่ปัจจุบันมหาวิทยาลัยกลายเป็นแบบจำลองความจริงที่เข้ามาทดแทนความจริง คนได้ปริญญาเต็มไปหมด...ปริญญากลาดเกลื่อนไม่ต่างจากเงินปลอม!!..."
“ความจริง” (true) กับ “ความเท็จ” (false) เป็นสิ่งที่มีมาคู่กัน ปกติมนุษย์แยกได้ว่าอะไรจริงหรืออะไรเท็จ เช่น พนักงานสอบสวนจับผิดผู้ต้องหาที่โกหก หรือทนายซักพยานเท็จในศาล
แต่ในโลกเสมือนจริง คนติดต่อสื่อสารกันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากัน บางทีคนหนึ่งหลอกคนอื่นว่าจะขายสินค้าแบรนด์ดัง ราคาถูก พอมีเหยื่อหลงเชื่อ—โอนเงินให้-- ก็ปิดไลน์หรือเฟสบุ๊คหนี หรือแนบเนียนกว่านั้นก็หลอกลงทุนในโครงการที่ไม่มีจริง จนคนเสียหายล่มจม!!
เหตุที่เป็นดังนี้เพราะโลกสมัยใหม่เป็นโลกของการจำลองความจริง (simulation) จนยากที่จะแยกความจริงกับความเท็จออกจากกัน ระบบการจำลองความจริงกระทำโดยการส่งสัญญาณ โดยส่งสาร(messages) ให้แพร่กระจายออกไปอย่างกว้าง และมีผู้รับสารพร้อม ๆ กันจำนวนมาก เสร็จแล้วผู้รับสารก็นำมาตีความ การตีความทำได้มากมายหลายทาง จนในที่สุดผู้รับสารตีความจนครอบคลุมทุกด้าน ตัวสารนั้นกลายเป็นสิ่งที่มีความหมายหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน เช่น “สีเหลือง” กับ “สีแดง” เป็นตัวสารธรรมดา แต่พอเปลี่ยนมาเป็น “กลุ่มเสื้อเหลือง” กับ “กลุ่มเสื้อแดง” กลับมีความหมายเปลี่ยนไป บางคนเห็นว่ากลุ่มนี้เป็นประชาธิปไตยมากกว่ากลุ่มนั้น หรือกลุ่มนี้รักชาติมากกว่ากลุ่มโน้น แม้แต่ “สลิ่ม” ปกติเป็นชื่อของหวานธรรมดา แต่มนุษย์เราเอามาเหยียดกันว่าเป็น “พวกอนุรักษ์นิยม”!! บางกลุ่มอ้างตัวเองว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ราวกับมีจริยธรรมอันสูงส่งกว่าใคร..
สารที่สามารถจำลองความจริงได้มากมาย จนกระทั่งมันมีความหมายครอบคลุมนี้ โบดรียา (Baudrillard) เรียกว่า “Simulacrum”
เขานิยามว่ามันคือภาพ (images) หรือภาพเหมือน (resemblance) ที่ถูกส่งไหลเวียนผ่านตัวสัญญาณที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พอส่งออกไปแล้วมันมีอำนาจครอบงำและเข้าไปแทนความเป็นจริง (increasing circulation of sign, their domination and then replacement of the real)
การทำงานของมันมี 3 ขั้น ขั้นแรก มันต้องเป็นสัญลักษณ์ (symbolic) ที่มีอำนาจจัดระเบียบสังคมก่อน เช่น คำว่า “การแข่งขัน” เป็นสัญลักษณ์ของระบบทุนนิยม ซึ่งเชื่อกันว่ามาจากจริยธรรม โปรเตสแตนท์ที่ขยันและทำงานหนัก ส่วนขั้นที่สอง เป็นการครอบงำของสัญลักษณ์ เช่น การแข่งขันนำมาซึ่งความมั่งคั่งร่ำรวย และความมั่งคั่งร่ำรวยเข้ามาแทนที่การแข่งขัน และขั้นที่สาม มันเข้าแทนที่สัญลักษณ์จนกลายเป็นความเหนือจริงหรือ “hyperreality” คือ มันเป็นความจริงจนเราแยกไม่ออกจากแบบจำลอง เช่น เถ้าแก่ฮะเถ้าแก่ฮวดขยันจนร่ำรวย สองคนนี้มีโรงสี โรงมันเต็มไปหมด หรือบริษัท ก. สอนคนงานในโรงงานอยู่ตลอดว่ามีกำเนิดมาจากอาเตี่ย วัน ๆ แกจะมายืนหน้าปากประตูโรงงาน ทำความเคารพลูกน้องและพิถีพิถันการผลิตทุกขั้นตอน เราแยกไม่ออกว่าเถ้าแก่กับอาเตี่ยแกรวยมาจากการแข่งขันจริง ๆ หรือการผูกขาดการค้าในท้องถิ่น..
โบดรียาอธิบายว่าโลกเราจึงมี Simulacrum หรือความเหนือจริงเต็มไปหมด เช่น เศรษฐกิจทั้งหมดเป็นแบบจำลองความจริง ยกตัวอย่าง ตลาดหุ้นไม่ได้ซื้อขายสินค้าอะไร มีแต่ซื้อขายหุ้น พอตลาดหุ้นล้ม คนเล่นหุ้นก็เจ๊ง แต่ตัวสินค้าก็ไม่ได้หายไปไหน แม้ว่าบริษัทจะทุนหายกำไรหด การซื้อสินค้าในตลาดสดก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม ตลาดหุ้นเป็นตลาดเสมือนจริง ส่วนตลาดสดเป็นตลาดของจริงอยู่กับมนุษย์ไปตลอด..
การศึกษาของมนุษย์ก็เป็นการจำลองความจริง... มนุษย์สมัยก่อนท้าทายอำนาจและความรู้ สามารถสร้างความหมายใหม่ให้กับสังคมได้เรื่อย ๆ ดูได้จากประวัติศาสตร์ทางปรัชญาหรือความก้าวหน้าวิชาการ แต่ปัจจุบันมหาวิทยาลัยกลายเป็นแบบจำลองความจริงที่เข้ามาทดแทนความจริง คนได้ปริญญาเต็มไปหมด...ปริญญากลาดเกลื่อนไม่ต่างจากเงินปลอม!!
โบดรียาเห็นว่ามนุษย์สมัยใหม่ฉลาดเกินไป รู้จักใช้ความเหนือจริงบิดเบือนความจริง เช่น กรณีคดีวอเตอร์เกตเป็นตัวอย่างของการทำงานของ Simulacrum ที่อำพรางความเลวร้ายของการเมืองในระบบเสรีนิยมที่แข่งขันกันทุกทางแม้แต่วิธีผิดกฎหมาย โบดรียาเห็นว่าปัญหาจริง ๆ ของคดีวอเตอร์เกต มันเป็นปัญหาของโครงสร้างหรือตัวระบบเสรีนิยม แต่สหรัฐอเมริกาสามารถลดความเลวของระบบเสรีนิยมให้เหลือเพียงประธานาธิบดีนิกสันเป็นคนไม่มีศีลธรรม!!
การที่ Simulacrum จะเข้าไปทดแทนความจริงได้นั้น โบดรียาเห็นต้องมีการเสริมแรง คือ ต้องมีผู้เป็นองค์ประธาน (subject) ครอบงำวัตถุ (object) ที่มีอำนาจครอบงำคนที่ถูกยั่วยวน
ยกตัวอย่างจาก นักการเมืองไทย เขารู้เป็นอย่างดีว่าคนไทยระดับล่างและระดับกลางในชนบทและในเมืองมีฐานะยากจน ต้องการเงิน หรือข้าราชการต้องการยศสูงขึ้น หรือพรรคการเมืองด้วยกันต้องการเก้าอี้รัฐมนตรี
ผู้เป็นองค์ประธานต้องมีความสามารถครอบครองวัตถุตัวนั้นก่อน เช่น ครอบครองเงิน ครอบครองตำแหน่งราชการ หรือมีอำนาจจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี เมื่อมีความสามารถครอบครองแล้ว ต้องนำเอา “วัตถุ” ตัวนั้นมาใช้เป็นเครื่องมือหลอกล่อและเข้าแทนความจริงทางการเมือง ทั้งนี้เพื่อรักษาอำนาจทางการเมือง หลักการปกครองมีง่าย ๆ ว่าการปกครองความคิดหรือการครอบงำสำคัญกว่าการปกครองโดยใช้กำลัง—การเป็นรัฐบาลจึงสำคัญกว่าการเป็นฝ่ายค้าน!!! –และการเป็นรัฐบาลที่รู้จักสร้างความเหนือจริงและการครอบงำนั้นสำคัญกว่าการเป็นรัฐบาลใสซื่อ..ไร้เดียงสา...
ดังนั้น การที่นักการเมืองไทยปราศรัยว่า “พี่น้องหายจนแล้วยัง??” --“แย่กว่าเดิมใช่ไหม??”-- “ผมมาแล้วอยู่นี่ยังไง”-- “เดี๋ยวเงินล็อตสองก็จะออกแล้ว” ...ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นไปตามทฤษฎีการยั่วยวน
“คำว่า “เงินล็อตสอง” จึงเป็นวัตถุที่มีอำนาจครอบงำคนถูกยั่วยวน และกลายเป็น Simulacrum ว่า “ผมมาแล้ว”-- และ “ผมนี่ยังไงที่เป็นคนช่วยพี่น้องให้หายจน”--
การปรากฏตัว (appearances) ขององค์ประธาน จึงเข้ามาทดแทนความเป็นจริง (reality) และสร้างความเหนือจริง (hyperreality) ว่า “ไม่นานพี่น้องก็หายจน” การปรากฏตัวเป็นสัญญาณที่เข้ามาทดแทนความจริงและกลายเป็น “Simulacrum”—
โบดรียาเห็นว่า “การปรากฏตัวขององค์ประธานสำคัญกว่าความเป็นจริง”
ตามทฤษฎี Simulacrum ข้างต้น การเมืองไทยได้กลับเข้าสู่ยุคการตลาดสมัยใหม่อย่างสมบูรณ์ และได้ขยายใหญ่ด้วยการสร้างความเหนือจริงเป็นอย่างมาก ดังเราจะได้เห็นการปรากฏตัวขององค์ประธานทางการเมืองไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ..
แต่อำนาจการเมืองที่ขยายตามการสร้างความเหนือจริงออกไปมากเท่าใด ย่อมสามารถสร้างการผูกขาดได้มาก พรรคการเมืองไทยมีความสามารถสร้างการปรากฏตัวขององค์ประธานไม่เท่ากัน เนื่องจากสาเหตุและปัจจัยต่าง ๆ นับไม่ถ้วน การแข่งขันทางการเมืองจึงเป็นไปอย่างไม่เท่าเทียมกัน..โดยที่คนทั่วไปอาจไม่รู้ตัว.. แม้แต่ตัวนักการเมืองและพรรคฝ่ายค้าน...
เมื่อการสร้างความเหนือจริงได้มาก การถ่วงดุลและยับยั้งก็ย่อมกระทำได้น้อยลง หลายคนที่รู้ย่อมตกใจว่า “ปล่อยให้สถานการณ์ทางการเมืองเป็นไปเช่นนี้ต่อไปได้อย่างไร??”
บางคนนึกถึงอำนาจฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระที่จะคัดง้างและถ่วงดุล แต่ดูเหมือนระบบฮั้วได้กลับมาอย่างสมบูรณ์แบบ.. ข้อสังเกตของผู้เขียนเคยตั้งไว้ว่า “เขาตกลงกันได้แล้ว” ดูเหมือนจะเป็นจริงทุกวัน... เหตุการณ์ชั้นสิบสี่ที่ทิ่มแทงขั้วหัวใจของความยุติธรรมกำลังหายไปในสายลม..อย่างน่าสะพรึงกลัว
บางคนหวังพึ่งทหาร --แต่แน่ละ ทหารก็ไม่ได้เข้าใจการเมืองหรือเข้าใจอะไรมากเท่าที่ควร!!! การรัฐประหารยิ่งทำให้ประเทศถอยหลังเข้าคลอง--
บางคนไปไกลขั้นว่า “เขาได้รับใบอนุญาตกลับมาสัมปทานทางการเมือง” ซึ่งสะเทือนจิตใจคนไทยและรู้สึกหดหู่เหลือเกิน...!!

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา