
"...สมดุล ไม่ได้แปลว่าสองข้างเท่ากัน ในความหมายที่กว้างกว่าคือความลงตัว พอดิบพอดี เหมาะเจาะ ไปด้วยกันอย่างราบรื่น โดยไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรือเครื่องมือใดๆ..."
“ชีวิตเหมือนการปั่นจักรยาน คุณจะต้องปั่นมันอย่างต่อเนื่อง มันจึงจะทรงตัวอยู่ได้”
อัลเบิรต์ ไอน์สไตน์
อย่าว่าแต่ชีวิตของผู้คนเลย แม้พืชพันธุ์ก็ยังต้องยืนตนให้คงอยู่ได้ในบริบทแวดล้อม
เมื่อต้นปี 2548 ผู้เขียนเดินทางไปกับ อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ และคณะนักเขียนเพื่อสัมผัสความสูญเสียอันเนื่องมาจากภัยสึนามิ ณ เกาะพีพี จ.กระบี่ ได้รับรู้ว่า เฉพาะที่เกาะพีพี มีคนเสียชีวิต 697 คน บาดเจ็บอีกหลายร้อยคน สูญหายนับพันคน ที่สูญเสียจำนวนมากเพราะก่อนหน้านั้นป่า ชายเลนถูกทำลาย กลายเป็นกระต๊อบและกองขยะ ทำให้ผู้คนและข้าวของเสียหายย่อยยับ ในขณะที่บริเวณไหนที่ป่าชายเลนยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นโกงกาง ความเสียหายจะน้อยเพราะโกงกางเป็นปราการ กางกั้นคลื่นยักษ์ไว้ได้ดี

อาจารย์เปลื้อง คงแก้ว ซึ่งล่วงลับไปแล้ว เป็นปราชญ์ชาวบ้านและเป็นกวีชาว จ. ตรัง ที่ไปด้วยกัน เล่าให้ฟังถึงชื่อเกาะพีพีว่า
พีพี เป็นชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง เดิมต้นไม้นี้ขึ้นอยู่บนเขา โดยมีต้นโกงกางขึ้นอยู่เป็นเพื่อน
วันหนึ่ง โกงกางเอ่ยปากชวนพีพีว่า
“อยู่บนเขานี่ มันร้อนเหลือกำลัง”
“จะหนีไปไหนล่ะ” พีพีถาม
“ไปอยู่ทะเลกันดีกว่า อยู่ใกล้น้ำ เย็นสบายดี” โกงกางตอบ
“เฮ่ย ! ไม่ไปหรอก คลื่นลมแรงจะตาย จะไปอยู่ได้ยังไง” พีพีเถียง
“ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าจะปกป้องแกเอง” โกงกางรับปาก
“แกจะปกป้องข้ายังไง” พีพีซัก
“ข้าจะอยู่ด้านหน้าติดทะเล แกเข้าไปอยู่ด้านในข้างหลังข้า คลื่นลมมาแรงแค่ไหน ข้าจะเป็นกำแพงปิดกั้นไว้ไม่ให้ระคายผิวแกเป็นอันขาด” โกงกางเอ่ยปากรับประกัน
เมื่อแน่ใจเช่นนั้น ทั้งพีพีและโกงกางจึงพากันลงจากภูมาอยู่ด้วยกันที่ชายทะเล วันหนึ่งคลื่นลมซัดเข้าฝั่งแรงมาก โกงกางเห็นเช่นนั้นจึงรีบเหยียดต้นหยั่งเป็นรากลงไปในดินตมอย่างรวดเร็วทำเวลาแข่งกับคลื่นที่ซัดเข้ามาทั้งแรงและฉับพลัน ทำให้ต้นโกงกางมีรากเยอะแยะมากมายที่หยั่งยึดดินไว้อย่างเหนียวแน่นเพื่อสามารถหยัดต้นยืนต้านรับแรงปะทะของคลื่นได้อย่างมั่นคง รากโกงกางที่ยึดโยงดินเป็นขุมตาข่ายนับแสนนับล้านรากนั้นเอง ที่เป็นป่าชุมชนชายเลนที่ทอนกำลังคลื่นสึนามิให้อ่อนแรงลงไป
แม้เรื่องนี้จะเป็นตำนานขานเล่า แต่ใช่หรือไม่ว่าเป็นกรณีศึกษาที่เห็นได้ว่าสรรพชีวิตล้วนบากบั่นดิ้นรนเพื่อสืบเนื่องชีวิตของตนต่อไปได้ เหมือนการทรงตัวของคนบนรถจักรยาน
กิ่วแม่ปาน เป็นพื้นที่บนดอยอินทนนท์ จ. เชียงใหม่ ซึ่งนักท่องเที่ยวไปเดินรับลมหนาวกันอย่างเนื่องแน่น เป็นป่าสามมิติ คือป่าดิบเขา ป่าทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ และป่าเมฆในพื้นที่ป่าเดียวกัน สะท้อนการอิงอาศัยซึ่งกันและกัน ระหว่าง ดิน น้ำ ลม ป่า และปวงธาตุต่างๆ
ผู้เขียนไปเดินซึมซาบกิ่วแม่ปานแล้วเกิดแรงบันดาลใจ บันทึกเป็นร้อยกรองบทหนึ่งว่า
ผืนดิน ใช่เพียงดิน ให้ชีวิน ได้เหยียบยืน
เลี้ยงป่า ทั้งแผ่นผืน บำรุงน้ำ ผ่องอำไพ
ผืนน้ำ ใช่เพียงน้ำ อันชุ่มฉ่ำ เย็นชื่นใจ
เลี้ยงดิน และป่าใหญ่ รินไหลหลอม รวมสายชล
ผืนป่า ใช่เพียงป่า สรรพพฤกษา อ่าอำพน
เลี้ยงโลก เลี้ยงผองชน บันดาลดล โลกสมดุล

เห็นได้ว่าถ้าป่าไม่มีต้นไม้ ถ้าต้นไม้ไม่มีน้ำ ถ้าดินไม่มีแร่ธาตุไม่มีน้ำ แต่ละสรรพสิ่งก็จะดำรงอยู่ไม่ได้
ที่มีอุบัติภัยหนักหน่วง ทั้งดินถล่ม น้ำป่าไหลหลาก สร้างความสูญเสียมหาศาล ก็เพราะดิน น้ำ ป่า ถูกทำลายด้วยการปลูกพืชเชิงเดี่ยว และการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ดุลยภาพทางธรรมชาติพินาศไป
อย่าว่าแต่ธรรมชาติเลย คนก็ต้องมีชีวิตอยู่อย่างสมดุล หาไม่แล้วชีวิตก็จะระทมทุกข์ หาความสงบสบายไม่ได้
ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ ผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ฝากผลงานศิลป์อลังการประดับไว้ในแผ่นดิน
เมื่อครั้งเป็นนักศึกษา ปีที่ 1 คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นศิษย์ของ อ. ศิลป์ พีระศรี ถวัลย์วาดรูปในปีนั้นทำคะแนนได้ดีระดับ 100 + +
ครั้นพอขึ้นปีที่ 2 กลับทำคะแนนได้เพียง 15 คะแนน

จึงถูก อ. ศิลป์ ดุเอาว่า
“ปลาของนายไม่มีกลิ่นคาว
นกของนายแหวกว่ายไปในอากาศไม่ได้
ม้าของนายไม่สามารถจะควบหรือวิ่งทะยานออกไปได้
นายเป็นเพียงนักลอกรูป
มันไม่ใช่งานศิลปะ”
นับเป็นคำประเมินที่เฉียบขาด และแทงใจดำ เจ้าของภาพอย่างรุนแรง
คำวิจารณ์นี้โด่งดังมาก ผู้คนในรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร รับรู้กันดีถึงคำวิจารณ์กระเดื่องมหาวิทยาลัยในครั้งนั้น
ถวัลย์ ดัชนี ตัดสินใจเปลี่ยนวิถีการผลิตงานศิลป์ของตนเองทั้งหมด
ด้วยแรงสนับสนุนจาก อ. ศิลป์ ถวัลย์ได้ทุนไปเรียนที่เนเธอร์แลนด์ด้านจิตรกรรมฝาผนัง อนุสาวรีย์ผังเมืองระดับปริญญาเอกสาขาอภิปรัชญาและสุนทรียศาสตร์ที่ราชวิทยาลัย แล้วนำเอาแนวปรัชญาพุทธศิลป์มาสร้างงาน กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มีเพียงคนเดียวในโลกศิลป์
หากไม่มีคำตำหนิอย่างถึงแก่นเช่นนั้น ไฉนเลยชื่อของ ถวัลย์ ดัชนี จะปรากฏเกียรติภูมิ ได้เช่นนี้
นี่คือการหันเข้าหาศักยภาพที่ทำให้เกิดความสมดุลในความเป็นตัวตนของถวัลย์ ดัชนี
งานเลียนแบบทั้งหลายทั้งปวง เพื่อให้ไปเหมือนกับคนอื่น ล้วนแล้วแต่ลดทอนศักยภาพของตนเอง นักร้อง นักพูด นักวาดภาพ เขาจะเก่งเพียงไร ก็ได้ชื่อเพียงเป็นนักเลียนแบบที่อาจจะปรากฏเป็นข่าวชั่วครู่ยามแล้วก็จะละลายหายไปกับคลื่นข่าวสาร เพราะอย่างน้อยที่สุด เขาไม่อาจทำได้ดีเท่าต้นฉบับ
คำว่าสมดุล ไม่ได้หมายถึง เอาเครื่องมือชั่งตวงวัดมาวัดว่า สองข้างเท่ากัน แต่หมายถึงความลงตัว พอดี เหมาะเจาะ กลมกลืน สมกันของสรรพสิ่งและชีวิต
เมื่อชายหญิงคู่หนึ่งสมัครใจจะเป็นคู่ครองกัน อาจอธิบายความสมดุลด้วยงานเขียนของ ประยอม ซองทอง ศิลปินแห่งชาติ ผู้ล่วงลับไปแล้ว เป็นกวีบทงามที่เขียนไว้ว่า
คนสองคน ซึ่งต่างทางความคิด
มีชีวิตที่ผิดแผกและแตกต่าง
การแต่งงาน คือการพบกันครึ่งทาง
ต้อง “ฉัน” บ้าง “เธอ” บ้าง เพื่อสร้าง “เรา”
คนเรามีอวัยวะที่ถูกออกแบบไว้อย่างน่าพิจารณา ร่างกายที่สมดุลเป็นการหล่อเลี้ยงของอาหาร น้ำ ที่เหมาะสม นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายพอดี เซลล์สมองได้เชื่อมต่อกันเพราะสมองใช้งานอย่างต่อเนื่อง หัวใจบำรุงไว้ด้วยความเข้าใจในสัจจะแห่งชีวิต มีพลังด้วยการเข้าถึงความจริง ความดี และความงาม
เรามีสองหูที่ต้องใช้ฟังทั้งสองข้าง จึงจะได้ยินชัดแจ้ง เรามีสองขาที่ต้องย่างก้าวไปด้วยกัน คนที่เดินขาเดียว เดี๋ยวก็หกล้ม เรามีตาสองข้างที่อยู่ใกล้กันแค่แนวสันจมูกอยู่หว่างกลาง ตาทั้งสองข้างไม่เคยมองกัน แต่ทุกครั้งที่มอง ตาสองข้างมองไปยังจุดเดียวกัน จึงเห็นเป้าสายตาอย่างชัดเจน

ศิลปินแห่งชาติอีกคนหนึ่ง คือ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ได้เขียนกวีให้ข้อคิดว่าศิลปินแห่งชาติอีกคนหนึ่ง คือ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ได้เขียนกวีให้ข้อคิดว่า
ตาของเราทั้งคู่บนหน้านั้น
มันไม่เคยมองกันแม้อยู่ใกล้
แต่มันมองด้วยกันทุกครั้งไป
และร้องไห้ด้วยกันทุกครั้งครา
อวัยวะ ที่เป็นคู่จึงช่วยกันทำหน้าที่สร้างสมดุลให้แก่กันและกัน
สมดุล ไม่ได้แปลว่าสองข้างเท่ากัน ในความหมายที่กว้างกว่าคือความลงตัว พอดิบพอดี เหมาะเจาะ ไปด้วยกันอย่างราบรื่น โดยไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรือเครื่องมือใดๆ
ไม่กี่วันมานี้ ผู้เขียนได้ปลาเสียดแดดเดียว เป็นปลาทะเลอันดามัน จาก จ. กระบี่ เป็นปลาที่เลื่องชื่อในความเอร็ดอร่อย ผู้เขียนมีเพียงข้าวต้มหนึ่งถ้วยกับปลาเสียดหนึ่งชิ้นเท่านั้นเป็นกับข้าว มื้อเย็น รู้สึกได้ว่าเป็นอาหารเย็นมื้อวิเศษได้รสอร่อยลิ้น อร่อยใจที่ต้องจดจำไปยาวนาน
ความสมดุล ความพอดี จึงไม่ขึ้นกับมูลค่า และไม่จำเป็นต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันกับใครๆ
ใจที่ไม่สมดุล เพราะใจเรียกร้องคนอื่น อยากครอบครอง ไหวเคลื่อน และวูบไหวไปกับปรากฏการณ์โดยไม่เข้าใจความเป็นจริงของสรรพสิ่งว่า ทุกสิ่งอย่าง มีเหตุแห่งความเป็นไปที่ไม่ขึ้นกับเจตจำนงของใครผู้ใดเลย
อ็องตวน เดอ แซ็งเต๊ก ซูเปรี นักเขียนฝรั่งเศส เจ้าของนวนิยายบันลือโลกเรื่อง เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) ที่แปลออกไปทั่วโลกมากกว่า 300 ภาษา
มีคนถามเขาว่า
“อะไรคือสิ่งที่มีความหมายต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์”
แซ็งเต๊ก ซูเปรี ตอบว่า
“สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า คือการรู้จักหาความสมดุลและทำให้มนุษย์นิยมเป็นหนึ่งเดียวกันกับชีวิตจิตใจของตน”

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา