"...มหาวิทยาลัยเปิดอาจจะสำคัญกว่ามหาวิทยาลัยปิด ซึ่งฟังแล้วแปลกใจ แต่คำว่า "เปิด" นี้ต้องรวมถึงทำวิจัยและการปรับเพิ่มรับประสบการณ์เชิงปฏิบัติเข้าไปด้วย อย่ามีแต่อาจารย์ที่สอนหรือวิจัยเท่านั้น คณาจารย์ของมหาวิทยาลัยเปิดต้องทำได้ด้วย ต้องนำพานักศึกษาหรือผู้เข้ารับการอบรมที่เป็นคนวัยกลางคนหรือคนสูงวัยได้ด้วย และอำนวยการให้ศิษย์ได้เรียนรู้มาก ได้เรียนรู้เร็ว และเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ได้ ส่วนมหาวิทยาลัยปิดนั้นพึงปรับตัวเป็นมหาวิทยาลัยเปิดมากขึ้น มหาวิทยาลัยที่เปิดอยู่แล้ว ต้องเพิ่มการวิจัยเชิงปฏิบัติ ต้องสัมพันธ์กับธุรกิจ สังคม ท้องที่ ชุมชนมากขึ้นอีก..."
เราเคยพูดถึงยุคอุตสาหกรรม 4.0 เมื่อสิบปีที่แล้ว
ในยุคที่ผมเป็นรัฐมนตรี เราได้พูดถึงมหาวิทยาลัยกับการนำประเทศไทยไปสู่ 4.0 และได้ทำการปรับเปลี่ยนใหญ่ disrupt ตัวเอง ไปพอสมควร อาทิ เราแบ่งประเภทมหาวิทยาลัย เรา ยกเลิกการรีไทร์เพราะเรียนเกินเวลา เรา เปิด national credit banks ให้ นักศึกษา และนักเรียน เราให้ทำหลักสูตรแซนด์บอกซ ยกเว้นกำหนดกฏเกณฑ์ใดได้แทบทุกอย่าง เราให้คณาจารย์เข้าสู่ตำแหน่งวิชาการได้โดยไม่ต้องอิงกับการเขียนตำราและวิจัยเท่านั้น และ อย่าลืม เรายังได้เอามหาวิทยาลัย สำนักหรือสถาบันวิจัย หน่วยงานให้ทุน หน่วยงานกำหนดยุทธศาสตร์ ไว้ในกระทรวงเดียวกัน สุดท้าย การเปิดหลักสูตรวินส์ (WINS) เพื่อให้ผู้บริหารหน่วยงานร่วมสองร้อยแห่งในกระทรวงมีความสมัครสมานและร่วมมือกันได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งก็ได้ผลดีกว่าที่คาดคิดเสียอีก
มหาวิทยาลัยทั้งหลาย ขอให้รีบก้าวเดินตามที่กระทรวงได้เปิดทางให้นี้ให้จริงจัง ผมเชื่อว่าท่านที่มาวันนี้ต้องการเดินต่อ สร้างความก้าวหน้าให้ตนเอง ให้สาขา ภาค แผนก คณะ วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย จึงขอบอกแนวโน้มเพิ่มเติม ที่จะกลายเป็นความจริงในสิบปีข้างหน้า พูดสั้นๆ โลกจะดิสรัพท์ต่อไปอีก เร็วขึ้นอีก เร็วเป็นทบเท่าทวีคูณ เป็น exponential chage ใครที่ใหญ่ สำเร็จมานาน มาตลอด หากไม่ปรับ อาจะล้มครืน คาดไม่ถึง อาจจะแพ้ใครที่เล็ก ใหม่ โนเนม ไม่มีชื่อ แต่เขาปรับตัวได้ทัน ได้เร็ว เขาขี่คลื่นเอไอ ไปได้ พูดง่ายๆ ถ้าเราไม่ดิสรัพท์ตนเอง ก็จะถูกคนอื่นมาดิสรัพท์เรา จะหมดงาน หมดอาชีพ หมดอนาคต
ขณะนี้ สถานการณ์และแนวโน้มล่าสุดคือ ยุค เอไอ ชี้นำ แทรกซึม แผ่ซ่าน ทุกอย่าง มาถึงเราแล้ว มันจะทำงานได้ดีเท่า ดีกว่า และเร็วกว่าสมองคน สมองผู้เชี่ยวชาญ สมองอัจฉริยะเสียอีก เอไอจะสนธิข้อมูล ทฤษฎี แม้แต่ ปัญญา เข้าด้วยกัน ทำงานร่วมกับคนได้เป็นอย่างดี งานวิจัยที่สำคัญ โดยอาศัยเอไอ จะสำเร็จผลอย่างรวดเร็ว จะเร่งให้เกิดความรู้ได้เร็วและมากมาย งานนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่และใช้เวลาทำน้อยลงมาก โรคภัยไข้เจ็บ โรคระบาด โรคติดหรือไม่ติดเชื้อ จะได้รับการบำบัดแทบหมดสิ้น อายุคนจะยืนยาวขึ้น การดูแลรักษาพยาบาลจะเป็นแบบเฉพาะคน คนไหนคนนั้นไม่เหมือนกัน เป็นไปตามจีโนมใครจีโนมมัน สินค้าและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจะถูกลงอย่างเหลือเชื่อ จะเทเลอร์เมด หรือมีคัสทอมไมเซชัน ได้มากขึ้น จาก 3 ดี พรินทิง ผสมกับ เอไอ ประชากรที่สูงวัยมากขึ้นจากเอไอ จะผสานเข้ากับโครงสร้างประชากรในประเทศตะวันตก เอเชียตะวันออก และไทย ที่กลายเป็นสามเหลี่ยมกลับทิศ คือ เด็กเกิดใหม่ น้อย คนวัยทำงานน้อยลดลงมาก แต่คนอายุพ้น 60 หรือ 65 ขึ้นไปจะมีมหาศาล คนอายุถึงรัอยจะกลายเป็นสถิติธรรมดา น่าทึ่ง คือ คนแก่จะกลายเป็นคนยุคใหม่ กลาย เป็นเสียงส่วนใหญ่ในแทบทุกวงการ รวมทั้งในการลงคะแนนเลือกตั้งด้วย ส่วนคนที่เคยเป็นคนยุคใหม่ คือ เด็ก หนุ่มสาว พลันจะกลายเป็นคนส่วนน้อยไปเสียอีก
ความรู้จะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ความรู้ใหม่จะมาเสริมเพิ่ม หรือมาหักล้างเปลี่ยนแปลงความรู้เก่า อายุของความรู้ ทฤษฎี และมุมมองต่างๆ จะสั้นลงมากๆ ผู้คนจะเห่อ จะบูชาปริญญาน้อยลงมากๆ หากแต่จะสนใจความรู้ความคิดทฤษฎีที่มีผลต่ออาชีพการงานและการปฏิบัติมากกว่า intelligence จะถูกนิยามใหม่ ไม่จำกัดแค่เป็นของคนหรือกลุ่มคนต่อไป และไม่เพียงวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และอุตสาหกรรมเท่านั้นที่จะถูกดิสรัพท์ แม้แต่ธุรกิจ และศิลปะ สุนทรียะ ดนตรี ก็จะถูก ดิสรัพท์ด้วย บทบาทและส่วนร่วมของผู้คนในอาชีพ วิชาชีพ หรือใน อุตสาหกรรม และวงการศิลปะ วิทยาการทั้งปวง จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เอไอจะแต่งหนังสือ เขียนจดหมาย จะ แปลความ แปลเอกสาร ได้ฉับไว จะเขียนจะวาดภาพ ปั้น หล่อ แทนคนได้ ดีกว่าคนเสียอีก สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ จะเพิ่มคุณค่า มูลค่า ให้แก่สินค้าและงานบริการ การแข่งขันเศรษฐกิจ จะขึ้นกับ intelligence ผ่าน เอไอ ขึ้นกับวัสดุใหม่ๆ ที่ใช้นาโนเทคมาสร้างหรือมาปรับปรุง ขึ้นกับประเทศ ใด บริษัท ใด รักษาสิ่งแวดล้อม รักษาสีเขียว ได้มากได้ดีกว่ากัน ฉะนั้นสิ่งแรกที่จะฝากไว้คือมหาวิทยาลัยต้องรีบเรียน รีบรู้ รีบใช้ เอไอ จัดการศึกษาให้คนในและคนนอกเกี่ยวกับเอไอ อย่างรวดเร็ว และสร้างสรรค์ที่สุด เปิดแผนก เอไอ กับ ธุรกิจ กับแพทย์-สาธารณสุข กับการท่องเที่ยว กับงานศิลปวัฒนธรรม กับการเรียนรู้และการศึกษา กับการวางแผน นโยบาย ยุทธศาสตร์
กลับมาที่การศึกษา การศึกษาเองก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เอาการสอนของอาจารย์ เป็นหลัก พลันจะกลายเป็นเน้นการเรียนของนักเรียน นักศึกษา เป็นหลัก ส่วนครูอาจารย์จะกลายเป็น เทรนเนอร โคช เมนตอร์ ผู้นำ แทน อาจารย์เราพร้อมหรือยัง เด็กของเราเตรียมเป็นผู้เรียนได้แค่ไหนแล้ว ผู้นำผู้บริหารในมหาวิทยาลัยในคณะคิดอย่างไร เวลานี้ มหาวิทยาลัยต้องตอบ
การศึกษาใหม่จะเน้นการให้ความรู้ หรือใส่ความรู้ลงไปให้นักเรีบน หริอ นักศึกษา น้อยลงมาก ความรู้ไม่ใช่ของหายาก มีอยู่ทั่วไป หาได้ไม่ยาก ที่สำคัญการศึกษาอาจต้องเน้นการสร้างบุคคลิกภาพ สอนการเข้าสังคม สอนการประสานงานและร่วมมือ ฝึกการนำและฝึกการตาม อาจต้องเพื่มเติมเรื่อง อีคิว ให้มากกว่าไอคิว การศึกษาต้องให้ธรรมะและจริยะกับผู้เรียนด้วย ให้ปัญญา ด้วย คุณภาพครูอาจารย์ต้องสูงมาก เขาจะต้องรู้ได้ ปฏิบัติได้ นำพาได้ หัวใจคือครูอาจารย์ต้องมาอัพสกิล รีสกิล มาเปลี่ยนมายนด์เซทให้แก่นักเรียน นักศึกษา ไม่ยังงั้นการศึกษาก็จักไม่เปลี่ยนใหญ่สมใจเรา นักการศึกษานั้น ที่จริงต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เสมอ ต้องนำแม้กระทั่งนักการเมือง ในทางความคิดสติปัญญาระดับสูงๆ แล้วเด็กก็จะปรับเปลี่ยน สังคมก็จะปรับเปลี่ยนตาม
มหาวิทยาลัยเปิดอาจจะสำคัญกว่ามหาวิทยาลัยปิด ซึ่งฟังแล้วแปลกใจ แต่คำว่า "เปิด" นี้ต้องรวมถึงทำวิจัยและการปรับเพิ่มรับประสบการณ์เชิงปฏิบัติเข้าไปด้วย อย่ามีแต่อาจารย์ที่สอนหรือวิจัยเท่านั้น คณาจารย์ของมหาวิทยาลัยเปิดต้องทำได้ด้วย ต้องนำพานักศึกษาหรือผู้เข้ารับการอบรมที่เป็นคนวัยกลางคนหรือคนสูงวัยได้ด้วย และอำนวยการให้ศิษย์ได้เรียนรู้มาก ได้เรียนรู้เร็ว และเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ได้ ส่วนมหาวิทยาลัยปิดนั้นพึงปรับตัวเป็นมหาวิทยาลัยเปิดมากขึ้น มหาวิทยาลัยที่เปิดอยู่แล้ว ต้องเพิ่มการวิจัยเชิงปฏิบัติ ต้องสัมพันธ์กับธุรกิจ สังคม ท้องที่ ชุมชนมากขึ้นอีก
มหาวิทยาลัยทั้งปิดและเปิดต้องเปิดรับหรือต้องแสวงหาความร่วมมือกับภาคปฏืบัติให้มากยิ่งขึ้น จะอยู่หรือทำเป็นหอคอยงาช้าง ไม่ได้ จะผูกขาดการศึกษาก็คงไม่ได้ มหาวิทยาลัยนั้นยิ่งที ยิ่งต้องปฏิบัติด้วย ร่วมปฏิบัติด้วยส่วนนานาภาคการปฏิบัติของเราก็จะต้องวิจัย ต้องเร่ง เรียนรู้ และจัดการศึกษาภายในของตนด้วย
มหาวิทยาลัยที่สอนต่อเนื่องตลอดชีพ สอน อบรม เทรน โค้ช คนวัยทำงานกระทั่ง คนสูงวัย จะสำคัญกว่ามหาวิทยาลัยที่เน้นสอนเด็กหนุ่มสาว แปลกไหม มหาวิทยาลัยที่เน้นแต่ให้ปริญญา แต่ไม่สนใจหลักสูตรระยะสั้นที่คอยอัพสกิล รีสกิล คนเลย จะหมดอนาคต จากนี้ไป วัยเรียนไม่ใช่วัยเด็กและหนุ่มสาวเท่านั้น หากคนทุกวัยต้องเข้ามาเรียนใหม่ๆ รอบใหม่ ครั้งใหม่ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผู้คนจะเรียนรู้ต่อเนื่อง แม้จะจบปริญญามาเมื่อไม่กี่ปีก่อน ก็จะต้องติดตามความรู้ใหม่ๆ เสมอ
สุดท้าย พึงตระหนักว่า โลกในอนาคต จะไม่ได้มีแต่ตะวันตก เป็นศูนย์แห่งวิชาความรู้ แห่งจริยะและอารยะ แต่ศูนย์เดียว นี่เป็นดิสรัพชันใหญ่อีกข้อ ไทยเรา มหาวิทยาลัยเรา ต้องสร้างหลักสูตรตนเอง ที่ดีกว่า ที่เหมาะกับผู้เรียนไทยได้มากกว่า และที่สะท้อนอารยธรรมและสภาพการพัฒนาในโลกตะวันออก ในอาเซียน ในไทยได้มากขึ้น มีลักษณะพิเศษของเรา อย่าก้อปปี้ หรือ คัท แอนด์เพสท์ของนอกโดยเฉพาะของตะวันตกมาอย่างเดียว ต้องระวัง เพราะถ้าไม่ทำอย่างที่แนะไปอุดมศึกษาของเราอาจจะหมดความสำคัญไป การอุดมศึกษา สำหรับไทยจะใช้บริการการศึกษาระดับภูมิภาค หรือระดับโลกไปเสียหมด เด็กและผู้ใหญ่ของไทยเราจะเรียนในหลักสูตรไหนในโลกก็ไม่ต่างกัน เราไม่ควรจะยอมให้เกิดสภาวะเช่นนี้ ชาติที่พัฒนาแล้วต้องจัดการอุดมศึกษาของตนเองด้วย ต้องเป็นชาติที่สอน วิจัย ประดิษฐ์ มี นวัตกรรมของตนเองด้วย ไม่ใช่ชาติที่มีแต่รับหรือลอกเลียนอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรมของชาติอื่นมาเป็นของตนถ่ายเดียว และชาติที่พัฒนาแล้วหากจะพึ่งพิงหรือต้องหยิบยืมการอุดมศึกษาและศิลปวิทยาการของคนอื่นด้วย ก็ต้องมีสายตากว้างไกลพอที่จะอิงอยู่กับหลากหลายอารยธรรม และหลากหลายขั้วแห่งการศึกษาและศิลปวิทยาการด้วย
โดย โดยศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์