"...แนวคิดของหลวงตามหาบัวที่ต้องการช่วยประเทศฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ ต้องย้อนกลับไปช่วงปี 2540 ประเทศไทยเผชิญปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก หรือที่เรียกว่า “วิกฤตต้มยำกุ้ง” หลวงตาได้ปรารภเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2540 จากการที่ท่านไปช่วยเหลือแจกของให้กับโรงพยาบาล จึงทราบว่า โรงพยาบาลจำนวนมากติดหนี้ค่าอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์และพยาบาล ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ทำให้ท่านรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก พยายามช่วยอย่างสุดกำลัง เป็นจำนวนเงินราว 100 ล้านบาท และเริ่มจริงจังที่จะทุ่มเอาตัวเข้าแลกในการช่วยชาติอย่างต่อเนื่อง พร้อมชี้ให้เห็นว่า “คนส่วนใหญ่มีความโลภ ฟุ่มเฟือย ไม่ประหยัด ลืมเนื้อลืมตัว และการทุจริตเห็นแก่ตัวเอง ชาติเราจึงไปไม่รอด ถ้าสถาบันหลัก คือประเทศชาติของเรามีปัญหาดังกล่าว ศาสนา พระมหากษัตริย์ เศรษฐี พ่อค้า ประชาชน หรือใคร ๆ ก็พากันพังไปด้วยกันทั้งหมด เพราะการไปกู้เงินมากมายมหาศาล แล้วไม่สามารถชำระหนี้ได้ทัน ต่างชาติเขาอาจมีบทบาทเข้ามากุมเศรษฐกิจหลัก ๆ ซึ่งมีผลต่อการต่อรองทางการเมือง และต่อไปอาจขยับเข้าควบคุมนโยบายเศรษฐกิจของบ้านเมืองเราให้เป็นเบี้ยล่างเขาได้”..."
เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา พวกเราคงทราบข่าวและบางคนได้เข้าร่วมพิธีรับมอบทองคำงานบุญ “ประเพณีผ้าป่า 12 เมษาฯ สืบหน่อต่อแขนงคลังหลวง บูชาพระคุณองค์หลวงตา” จากคณะศิษยานุศิษย์หลวงตามหาบัว จำนวน 12.5 กิโลกรัม เพื่อบูชา 111 ปี ชาตกาลของหลวงตามหาบัว ทำให้ผมนึกถึงความรักชาติและความเสียสละของพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน อดีตเจ้าอาวาส วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ผู้ริเริ่ม “โครงการผ้าป่าช่วยชาติ” ซึ่งได้ส่งมอบทองคำฝากเข้าทุนสำรองระหว่างประเทศ หรือคลังหลวงแล้ว จำนวน 30 ครั้ง รวมทองคำแท่งบริสุทธิ์กว่า 13 ตัน หรือ 13,129.832 กิโลกรัม และเงินตราต่างประเทศจำนวน 10,457,159.63 ดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2567)[1]
แนวคิดของหลวงตามหาบัวที่ต้องการช่วยประเทศฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ ต้องย้อนกลับไปช่วงปี 2540 ประเทศไทยเผชิญปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก หรือที่เรียกว่า “วิกฤตต้มยำกุ้ง” หลวงตาได้ปรารภเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2540 จากการที่ท่านไปช่วยเหลือแจกของให้กับโรงพยาบาล จึงทราบว่า โรงพยาบาลจำนวนมากติดหนี้ค่าอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์และพยาบาล ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ทำให้ท่านรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก พยายามช่วยอย่างสุดกำลัง เป็นจำนวนเงินราว 100 ล้านบาท และเริ่มจริงจังที่จะทุ่มเอาตัวเข้าแลกในการช่วยชาติอย่างต่อเนื่อง พร้อมชี้ให้เห็นว่า “คนส่วนใหญ่มีความโลภ ฟุ่มเฟือย ไม่ประหยัด ลืมเนื้อลืมตัว และการทุจริตเห็นแก่ตัวเอง ชาติเราจึงไปไม่รอด ถ้าสถาบันหลัก คือประเทศชาติของเรามีปัญหาดังกล่าว ศาสนา พระมหากษัตริย์ เศรษฐี พ่อค้า ประชาชน หรือใคร ๆ ก็พากันพังไปด้วยกันทั้งหมด เพราะการไปกู้เงินมากมายมหาศาล แล้วไม่สามารถชำระหนี้ได้ทัน ต่างชาติเขาอาจมีบทบาทเข้ามากุมเศรษฐกิจหลัก ๆ ซึ่งมีผลต่อการต่อรองทางการเมือง และต่อไปอาจขยับเข้าควบคุมนโยบายเศรษฐกิจของบ้านเมืองเราให้เป็นเบี้ยล่างเขาได้”
นับแต่ท่านปรารภข้างต้น บรรดาลูกศิษย์ลูกหาต่างทยอยบริจาคเงินมาเป็นระยะ ๆ จนเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2541 มีผู้นำเงินดอลลาร์มาบริจาคจำนวน 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ ท่านจึงเริ่มต้นประเดิมรับบริจาค “เงินดอลลาร์” อย่างเป็นทางการ พร้อมแนวคิดให้จัดตั้ง “โครงการผ้าป่าช่วยชาติ” ขึ้นเพื่อระดมทองคำและเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฝากเข้าคลังหลวง แม้ในช่วงเวลานั้น ท่านจะประสบอุบัติเหตุ กระดูกแตก แต่ท่านมีความตั้งใจแน่วแน่ มีความปรารถนาดี ต้องการเห็นคนในชาติสมัครสมานสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ไปด้วยกัน แต่กลับกลายเป็นกระแสวิพากษ์ มีทั้งกลุ่มที่เห็นด้วยและคัดค้านแนวคิดของท่าน ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยมองว่า จะเอาเงินที่หายากอยู่แล้วในขณะนั้นไปซื้อทองคำที่เปรียบเสมือนซื้อก้อนหินหรือท่อนเหล็กมาเก็บไว้ในโกดังจะเกิดประโยชน์ได้อย่างไร ทำไมไม่นำเงินดอลลาร์สหรัฐมาใช้ในยามคับขัน เรื่องการบริหารบ้านเมืองเป็นเรื่องทางโลกไม่ใช่เรื่องทางธรรม พร้อมตั้งคำถามว่า เป็นกิจของสงฆ์ตามพระธรรมวินัยหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม หลวงตามหาบัวกลับเห็นต่างว่า “งานนี้เป็นงานของธรรม เป็นงานของศาสนา เป็นงานแห่งความร่มเย็นของโลกทั่ว ๆ ไป เวลานี้ชาติไทยกำลังต้องการเครื่องเยียวยามากที่สุด ถ้าเป็นร่างก็มีแต่หนังห่อกระดูกไม่น่าจะผิด เพราะเราพูดของเราเอง ชาติไทยของเราเอง ทุกคนเป็นคนไทย…ที่จำเป็นที่สุดอันดับหนึ่งก็คือทองคำ จะได้นำเข้าคลังหลวงทุกชิ้นทุกอัน เวลานี้กำลังรวบรวม ได้ตกลงกับช่างเขาเรียบร้อยแล้วว่า ทองคำที่เรี่ยราด ทองคำต่างประเทศนั้น จะรวมหลอมเข้าเป็นทองแท่ง ๆ แล้วตีตราให้เป็นมาตรฐาน…ทองคำสำคัญที่สุด เป็นแกนของชาติ เป็นแก่นของชาติ เป็นสมบัติประกันของเรา ขอให้สงวนหรือแสวงอันนี้ให้มากยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพื่อเป็นหลักใจของชาติไทยเรา หลักประกันชาติไทยเรา...”[2]
คำปรารภของหลวงตา ทำให้โครงการผ้าป่าช่วยชาติเกิดเป็นรูปธรรมขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2541 ได้สร้างกระแสความรักชาติ ประชาชนต่างหลั่งไหลบริจาคทุนทรัพย์ตนเองที่มีทุกรูปแบบ เช่น เงินบาท เงินสกุลต่างประเทศ เครื่องประดับ เพชรนิลจินดา ทองคำในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการหลวงตามหาบัว ทรงสดับพระธรรม ทรงถวายทองคำและเงินเพื่อเป็นทุนตั้งต้นในโครงการผ้าป่าช่วยชาติ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2541 ณ สวนแสงธรรม พุทธมณฑลสาย 3 [3]
พวกเราคงสงสัยและตั้งคำถามว่า ในช่วงเวลานั้น เศรษฐกิจอยู่ในภาวะวิกฤต แล้วทำไมผู้คนจึงยอมสละทรัพย์สินส่วนตัวที่อาจจำเป็นต้องใช้ในภาวะฉุกเฉิน มาให้กับโครงการนี้ เพียงเพราะคำปรารภของพระสงฆ์สายพระป่ารูปหนึ่งเท่านั้น ติดตามคำตอบได้ใน weekly mail สัปดาห์หน้าครับ
แหล่งที่มา:
[1] สรุปยอดรับบริจาคทองคำและเงินตราต่างประเทศตามโครงการผ้าป่าช่วยชาติ ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน, ธนาคารแห่งประเทศไทย,
https://www.bot.or.th/content/dam/bot/documents/th/research-and-publications/reports/bot-report/financial-reports/financial-reports-explanation/bot_gold_donation_outstanding.pdf
[2]ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน, โครงการช่วยชาติด้วยเมตตาธรรม, พิมพ์ครั้งที่ 3 เมษายน 2553, พิมพ์ที่บริษัทด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด หน้า 22-46
[3] หลวงตามหาบัว ผ้าป่ากู้วิกฤตชาติ: ความจริงไม่ตาย, (25 ก.ย. 62) Thai PBS, www.youtube.com/live/6zhD27esK60
หมายเหตุ: ขอขอบคุณ คุณสุรินทร ลาภเจริญทรัพย์ เลขานุการอาวุโส ประจำผู้ว่าการ ที่มีส่วนร่วมในการเขียน weekly mail ฉบับนี้