"...นับตั้งแต่ปี 2013 มาจนถึงวันนี้ จีนสามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจด้วยโมเดลการพัฒนารูปแบบใหม่ตามแนวทางสีโนมิกส์ จีนสามารถลดสัดส่วนการส่งออกต่อ GDP และค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนการบริโภคภายในประเทศต่อ GDP รวมทั้งการยกระดับรายได้เฉลี่ยของคนจีนให้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว (จากรายได้ 6,283 เหรียญ สรอ.ต่อคน ในปี 2012 เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 12,556 เหรียญ สรอ.ต่อคน ในปี 2021) จึงเป็นการเพิ่มอำนาจซื้อและขยายกลุ่มชนชั้นกลางจีนได้มากถึง 400 ล้านคน ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของจีนเองอย่างต่อเนื่อง..."
โมเดลเศรษฐกิจจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง หรือ “สีโนมิกส์” (Xinomics) มีลักษณะโดดเด่นหลายด้านที่แตกต่างไปจากโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจแบบเดิมของจีน ด้วยบริบทสภาพแวดล้อมทั้งในประเทศและระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป เศรษฐกิจจีนต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ทำให้สีจิ้นผิงจำเป็นต้องปรับทิศทางและจุดเน้นของโมเดลเศรษฐกิจจีนที่แตกต่างไปจากในยุคก่อนหน้านี้
เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจีนอย่างจริงจัง ลดการพึ่งพาภาคต่างประเทศ หันมาเน้นสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน เน้นรักษาเสถียรภาพ และมุ่งสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศ (Consumption-driven Economy) และนำโมเดลเศรษฐกิจวงจรคู่ (Dual Circulation Model) มาเป็นแกนหลักในการพัฒนาประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาโลก แต่จะดึงให้โลกต้องพึ่งพาจีน โดยการเน้นทั้งการหมุนเวียนภายใน (Internal Circulation) ควบคู่ไปกับการหมุนเวียนภายนอก (External Circulation)
นับตั้งแต่ปี 2013 มาจนถึงวันนี้ จีนสามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจด้วยโมเดลการพัฒนารูปแบบใหม่ตามแนวทางสีโนมิกส์ จีนสามารถลดสัดส่วนการส่งออกต่อ GDP และค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนการบริโภคภายในประเทศต่อ GDP รวมทั้งการยกระดับรายได้เฉลี่ยของคนจีนให้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว (จากรายได้ 6,283 เหรียญ สรอ.ต่อคน ในปี 2012 เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 12,556 เหรียญ สรอ.ต่อคน ในปี 2021) จึงเป็นการเพิ่มอำนาจซื้อและขยายกลุ่มชนชั้นกลางจีนได้มากถึง 400 ล้านคน ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของจีนเองอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ แนวทางสีโนมิกส์จะไม่ส่งเสริมเศรษฐกิจเก็งกำไร และไม่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงปริมาณ แต่เน้นเติบโตอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ ไม่ส่งเสริมเศรษฐกิจตีโป่งแบบฉาบฉวย แต่ส่งเสริมภาคเศรษฐกิจจริงและภาคการผลิตสินค้านวัตกรรม ส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการมุ่งสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ มีการขับเคลื่อนสังคมจีนสู่เศรษฐกิจแพลตฟอร์มอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่มาออกแบบนโยบาย แก้ปัญหาได้แม่นยำและตรงจุดมากขึ้น
โดยเฉพาะการพัฒนาเงินหยวนดิจิทัลให้ประชาชนจีนได้นำไปทดลองจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันได้สำเร็จ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจีนล้วนให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการผลิตที่ก้าวหน้า เน้นการสร้างนวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีของจีนเอง มีการให้แรงจูงใจและส่งเสริมคนเก่งที่มีทักษะสูง เพื่อให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและมุ่งสู่การเป็นผู้นำเทคโนโลยีในระดับโลก
นอกจากนี้ ลักษณะเด่นของแนวทางสีโนมิกส์จะเน้นการเมืองนำเศรษฐกิจ โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ามามีบทบาทชี้นำอย่างชัดเจน ในแวดวงวิชาจึงเริ่มใช้คำเรียกระบบแบบจีนว่า “ทุนนิยมโดยรัฐที่มีพรรคเป็นใหญ่” (Party-State Capitalism) กลไกรัฐและกลไกพรรคเข้ามามีบทบาทในการจัดระเบียบกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เน้นการปราบคอรัปชั่น และขจัดความยากจน ช่วยให้ชาวจีนยากไร้ในชนบทจำนวน 98.99 ล้านคนหลุดพ้นจากเส้นแบ่งความยากจนได้สำเร็จตามเป้าหมาย รวมทั้งความพยายามลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ด้วยแนวคิดรุ่งเรืองร่วมกัน (Common Prosperity)
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสำเร็จทางเศรษฐกิจของจีนเป็นผลจากการมีผู้นำที่กล้าตัดสินใจเลือกแนวทางพัฒนาที่ต้องสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและบริบทของจีน และไม่หยุดนิ่งในการปรับเปลี่ยนโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและบริบทที่เปลี่ยนไป จากโมเดลแบบเดิมที่เคยเน้นส่งเสริมการส่งออก ปรับมาเป็นโมเดลเศรษฐกิจวงจรคู่ เน้นการบริโภคและใช้ศักยภาพของเศรษฐกิจภายในของจีนเป็นแรงขับเคลื่อนควบคู่ไปกับการหมุนเวียนภายนอกประเทศ
ในด้านการต่างประเทศ สีจิ้นผิงผลักดันข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI) เพื่อแสวงหาความร่วมมือและสร้างแนวร่วมในการผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลก และภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งในประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ไม่แน่นอน จีนมีการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ อย่างเข้มขัน และมีนโยบายที่แข็งกร้าวกับสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า “การทูตนักรบหมาป่า” (Wolf Warrior Diplomacy) เน้นการตอบโต้กับสหรัฐแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน รวมทั้งย้ำจุดยืนในประเด็นจีนเดียว และการรวมชาติกับไต้หวัน
ดร.อักษรศรี พานิชสาส์นได้เขียนหนังสือ “โมเดลเศรษฐกิจสีจิ้นผิง : Xinomics” เพื่อศึกษาวิเคราะห์พัฒนาการของแนวทางสีจิ้นผิงตลอด 10 ปีที่ผ่านมา สีจิ้นผิงได้ปรับเปลี่ยนโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจจีนด้วยแนวทางสีโนมิกส์ มาตั้งแต่ปี 2013 ที่เริ่มเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของจีน
จากการศึกษาวิเคราะห์ลักษณะเด่นของแนวทางสีโนมิกส์ สรุปได้ 14 ข้อ ดังนี้
1.แนวทางสีโนมิกส์ไม่เน้นเติบโต แต่เน้นรักษาเสถียรภาพและความมั่นคง เช่น ความมั่นคงทางพลังงาน และความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งความมั่นคงทางสาธารณสุข โดยเฉพาะหลังจากเกิดการระบาดของโควิด-19 ทำให้จีนหันมาเน้นการพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง
2.แนวทางสีโนมิกส์ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจีนมาเน้นภาคการบริโภคภายในประเทศให้มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาภาคต่างประเทศ และใช้ประโยชน์จากศักยภาพของเศรษฐกิจภายในและตลาดขนาดใหญ่ของจีน
3.แนวทางสีโนมิกส์ลดการพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ หันมาเน้นการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของจีนเอง โดยทุ่มงบประมาณเพื่อการวิจัยพื้นฐานอย่างเต็มที่ รวมทั้งการยกระดับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ภายใต้ยุทธศาสตร์ Made in China 2025
4.แนวทางสีโนมิกส์เน้นการขจัดความยากจน เพื่อยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของชาวจีน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมพอกินพอใช้รอบด้าน (“สังคมเสี่ยวคัง” ในภาษาจีนกลาง)
5.แนวทางสีโนมิกส์เน้นการสร้างความเป็นเมืองให้ชนบท (Urbanization) กระจายความเจริญสู่ชนบท เน้นสร้างงานและเพิ่มรายได้ให้ชาวจีนในชนบท รวมทั้งการ “ฟื้นฟูชนบท” (Rural Revitalization) เพื่อให้คนจีนในชนบทไม่ต้องโยกย้ายมาทำงานหรือกระจุกตัวในเมืองใหญ่ เมื่อชาวชนบทจีนมีรายได้สูงขึ้นก็จะขยับขึ้นเป็นกลุ่มชนชั้นกลางจีนที่จะเป็นพลังการบริโภคระลอกใหม่ของจีนต่อไป
6.แนวทางสีโนมิกส์เน้นลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ด้วยการผลักดันแนวคิดรุ่งเรืองร่วมกัน (Common Prosperity) เพื่อให้ผู้ที่มีความมั่งคั่งมากกว่าควรต้องแบ่งปันและช่วยเหลือผู้ที่ยากไร้กว่า และเพื่อร่วมกันสร้างสร้างสังคมที่มีความรุ่งเรืองร่วมกัน
7. แนวทางสีโนมิกส์เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และส่งเสริมคนเก่งที่มีทักษะสูง (Talent) ในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งอนาคต ทั้งที่เป็นคนเก่งทักษะสูงที่อยู่ในจีนและในต่างประเทศ
8. แนวทางสีโนมิกส์เน้นการยกระดับและพัฒนาภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) ไม่เน้นเศรษฐกิจฉาบฉวย และไม่สนับสนุนเศรษฐกิจเก็งกำไร เช่น ห้ามการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ และห้ามทำธุรกรรมเงินคริปโตทุกชนิด
9. แนวทางสีโนมิกส์เน้นการพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน โดยเฉพาะธนาคารกลางของจีนได้พัฒนา“เงินหยวนดิจิทัล”เพื่อให้ประชาชนทั่วไปทดลองนำไปจับจ่ายใช้สอย (Retail Central Bank Digital Currency) จนสำเร็จเป็นประเทศแรกของโลก
10.แนวทางสีโนมิกส์เน้นพัฒนาประเทศมุ่งสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data-driven Economy) และนำผลการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Analytics) เพื่อมาออกแบบนโยบายได้อย่างแม่นยำและตรงจุดมากขึ้น
11. แนวทางสีโนมิกส์เน้นพัฒนาภาคเกษตรที่ทันสมัยด้วยการใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรที่ล้ำหน้า (Agri Tech) เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้กลับถิ่นเกิดเพื่อพัฒนาภาคเกษตรที่ทันสมัยในท้องถิ่นบ้านเกิดของตน
12. แนวทางสีโนมิกส์เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน ให้ความสำคัญกับการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ลดการสร้างมลพิษ ตลอดจนการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า EV อย่างครบวงจร เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
13. แนวทางสีโนมิกส์ไม่ใช่แนวทางสู่การเป็นรัฐสวัสดิการที่เน้นการแจกเงินหรือแจกสิ่งของให้ประชาชน จนไม่ยอมทำงานเฝ้ารอคอยการช่วยเหลือจากรัฐ สีจิ้นผิงมองว่า จะกลายเป็นปัญหาติดกับดักของรัฐสวัสดิการ (Trap of Welfarism)
14. แนวทางสีโนมิกส์เน้นกระตุ้นการแข่งขันในภาคธุรกิจ ลดการครอบงำทางธุรกิจของทุนขนาดใหญ่ พร้อมๆ ไปกับการกำกับดูแลและยึดมั่นในกฎหมาย มีการนำกฎหมายมาใช้จัดระเบียบทุน และกำกับดูแลกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ
นอกจากนี้ ในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจวงจรคู่ในยุคสีจิ้นผิง มีทั้งการหมุนเวียนภายใน ควบคู่ไปกับการหมุนเวียนภายนอก โดยทั้งสองวงจรเศรษฐกิจหมุนเวียนขับเคลื่อนไปด้วยกัน และเน้นสร้างพลังการบริโภค เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นแกนหลัก ผ่านการเพิ่มอำนาจซื้อของชนชั้นกลางจีน และใช้ศักยภาพด้านอุปสงค์ของตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ภายในของจีน ควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์จากการเป็นตลาดใหญ่เพื่อดึงดูดภาคเศรษฐกิจภายนอก ให้หันมาพึ่งพาพลังการซื้อหรือการนำเข้าของจีน เพื่อให้ประเทศต่างๆ ต้องพึ่งพารายได้จากการค้าขายกับตลาดขนาดใหญ่ของจีนให้มากขึ้น
จึงชัดเจนว่า ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจวงจรคู่ จีนไม่ได้มุ่งเพื่อปิดประเทศหรือโดดเดี่ยวตัวเอง ในทางตรงข้าม จีนยังคงให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงกับต่างประเทศ เพื่อใช้ภาคเศรษฐกิจภายนอกเป็นแรงเสริมในการขับเคลื่อนพลวัตของเศรษฐกิจภายในของจีน และเพื่อดึงดูดให้ต่างประเทศหันมาพึ่งพาพลังซื้อจากตลาดผู้บริโภคจีนมากขึ้น ทั้งด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศต่อไป
ตัวอย่างแนวทางการส่งเสริมการหมุนเวียนภายในประเทศ เช่น การเพิ่มบทบาทของการบริโภคภายในประเทศ และการส่งเสริมความเป็นเมือง (Urbanization) การสร้างงานสร้างรายได้ในชนบทจีน การส่งเสริมการจ้างงานคนรุ่นใหม่ การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดย่อม SMEs และการปรับปรุงระบบสวัสดิการสังคมและการบริโภค เป็นต้น รวมทั้งการปฏิรูปโครงสร้างของประเทศในเชิงลึกให้มากขึ้น ผลักดันการปฏิรูปด้านอุปทาน เพื่อปรับรูปแบบการจัดหาสินค้าและบริการภายในประเทศให้ทันสมัย และเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ
สำหรับตัวอย่างแนวทางการส่งเสริมการหมุนเวียนภายนอก เช่น การขยายความร่วมมือและจัดทำความตกลงทางการค้ากับประเทศต่างๆ การเข้าร่วมกลุ่มเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับจีน และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้มากขึ้น เป็นต้น โดยหวังว่า การเชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจภายนอกจะเป็นแรงเสริมในการขับเคลื่อนพลวัตของเศรษฐกิจภายในของจีน ตลอดจนการดึงให้ต่างประเทศหันมาพึ่งพาจีนมากขึ้น ทั้งด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ เพื่อทำความเข้าใจโมเดลจีนอย่างถ่องแท้ ไม่ควรจะมองผ่านเครื่องมือหรือมุมมองแบบตะวันตกเท่านั้น ในหนังสือ “โมเดลเศรษฐกิจสีจิ้นผิง : Xinomics” จึงได้ปรับประยุกต์นำแนวคิดทางตะวันออกในเรื่องธาตุทั้ง 5 มาวิเคราะห์โมเดลจีน และนำแนววิเคราะห์ PEST Analysis มาร่วมวิเคราะห์ เพื่อพิจารณาจากปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่เฉพาะปัจจัยทางเศรษฐกิจด้วย
อย่างไรก็ดี ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจสีจิ้นผิง แม้ว่ารัฐบาลจีนจะสามารถปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจในหลายด้าน รวมทั้งผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงมีปัญหาทางเศรษฐกิจที่ค้างคาและยังแก้ไขไม่สำเร็จ เช่น ปัญหาภาระหนี้ ทั้งที่เป็นหนี้ของรัฐวิสาหกิจจีน หนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นจีน และหนี้ครัวเรือนตลอดจนปัญหาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ประเด็นเศรษฐกิจ เช่น ปัญหาชนกลุ่มน้อยที่ก่อความไม่สงบ โดยเฉพาะชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง เป็นต้น
ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น