"...2) เงินงบประมาณของรัฐที่มีจำกัดย่อมมีค่าเสียโอกาสเสมอ เงินจำนวนมากถึงประมาณ 560,000 ล้านบาทนี้ ทําให้รัฐเสียโอกาสที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในการสร้าง digital infrastructure หรือในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เป็นต้น เพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งล้วนแต่จะสร้างศักยภาพในการเจริญเติบโตในระยะยาว แทนการใช้เงินเพื่อการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นๆ ซึ่งไม่สมเหตุสมผลต่อการ สร้างภาระหนี้สาธารณะให้เป็นภาระแก่คนรุ่นต่อไป..."
นักวิชาการและคณาจารย์เศรษฐศาสตร์ที่มีรายชื่อข้างล่างนี้ มีความเห็นพ้องต้องกันที่จะเรียกร้องให้รัฐบาล ‘นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาท’ เพราะเป็นนโยบายที ‘ได้ไม่คุ้มเสีย’ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1) เศรษฐกิจ กำลังอย่ในภาวะฟื้นตัวโดยสำนักวิเคราะห์ ส่วนใหญ่คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.8 ในปีนี้และร้อยละ 3.5 ในปีหน้า จึงไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้น การบริโภคภายในประเทศ
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมามีการบริโภคส่วนบุคคลเป็นตัวจักร สำคัญ ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ การบริโภคขยายตัวถึงร้อยละ 7.8 ซึ่งสูงที่สุด ใน 20 ปี คิดเป็นกว่า 2 เท่าของค่าเฉลี่ย 10 ปี คาดว่าปีนี้ทั้งปีจะขยายตัวร้อยละ 6.1และ 4.6 ในปีหน้า จึงไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะกระตุ้นการบริโภคส่วนบุคคล แต่ควรเน้นการใช้จ่ายของภาครัฐในการสร้างศักยภาพในการลงทุนและ การส่งออกมากกว่า
นอกจากนี้การกระตุ้น การใช้จ่ายภายในประเทศยังอาจจะเป็นปัจจัยให้ เกิดเงินเฟ้อสงูขึ้นมาอีก หลังจากที่เงินเฟ้อได้ลดลงจากร้อยละ 6.1 มาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2.9 ในปีนี้ท่ามกลางราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะหลัง การกระตุ้นการบริโภคในช่วงเวลานี้จะทำให้เงินเฟ้อคาดการณ์ (inflation expectation) สูงขึ้นและอาจนําไปสู่สภาวะที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยในที่สุด
2) เงินงบประมาณของรัฐที่มีจำกัดย่อมมีค่าเสียโอกาสเสมอ เงินจำนวนมากถึงประมาณ 560,000 ล้านบาทนี้ ทําให้รัฐเสียโอกาสที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในการสร้าง digital infrastructure หรือในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เป็นต้น เพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งล้วนแต่จะสร้างศักยภาพในการเจริญเติบโตในระยะยาว แทนการใช้เงินเพื่อการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นๆ ซึ่งไม่สมเหตุสมผลต่อการ สร้างภาระหนี้สาธารณะให้เป็นภาระแก่คนรุ่นต่อไป
ค่าเสียโอกาสสำคัญ คือการใช้เงินสร้างงานเพื่อสร้างรายได้ให้ประชาชน
3) การกระตุ้นเศรษฐกิจให้รายได้ประชาชาติ (GDP) ขยายตัวโดยรัฐ แจกเงินจํานวน 560,000 ล้านบาทเข้าไปในระบบเป็นการคาดหวังที่เกินจริง เพราะปัจจุบัน ข้อมลูเชิงประจักษ์จากงานวิจัยทำให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ เชื่อว่า ตัวทวีคูณทางการคลัง (fiscal multiplier) ที่เกิดจากการใช้จ่ายของรัฐใน ลักษณะเงินโอนหรือการแจกเงิน มีค่าต่ำกว่า 1 และต่ำกว่าตัวทวีคูณทางการ คลังสำหรับการใช้จ่ายโดยตรงและการลงทุนของภาครัฐ การที่ผู้กำหนดนโยบายหวังว่านโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นสิงที่เลื่อนลอย
ไม่มีใครเสกเงินได้ไม่มีเงินที่งอกจากต้นไม้ ไม่มี เงินที่ลอยมาจากฟ้า ไม่ว่าจะแอบซ่อนมาในรูปใดก็ตาม สุดท้ายแล้วประชาชนจะต้องจ่ายคืนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น และ/หรือ ราคาสินค้าแพงขึ้นเพราะเงินเฟ้ออันเนื่องจากการเพิ่มปริมาณเงิน
4) เราอยู่ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2565 เพราะเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก การก่อหนี้จำนวนมาก ไม่ว่ารัฐบาลจะออกพันธบัตรหรือกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจหรือกู้สถาบันการเงินของภาครัฐ ก็ล้วนแต่จะทำให้รัฐบาลและคน ทั้งประเทศต้องเผชิญ กับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั้งสิ้น หนี้สาธารณะของรัฐที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 10.1 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 61.6 ของรายได้ ประชาชาติ (GDP) จะต้องมีภาระที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นในยามที่ต้องจ่ายคืนหรือกู้ใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อภาระเงินงบประมาณของรัฐในแต่ละปี นี่ยังไม่นับ จำนวนเงิน ค่าดอกเบี้ยที่ เพิ่มขึ้นจากการแจกเงิน digital คนละ 10,000 บาทนี้ ด้วย
5) ในช่วงทีโลกเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอย รัฐบาลแทบทุกประเทศต่างก็จำเป็นที่จะต้องมีการขาดดุลการคลังและสร้างหนี้จำนวนมากเพื่อใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุขกระตุ้น เศรษฐกิจ และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่หลังจากวิกฤตโรคระบาดและภาวะเศรษฐกิจถดถอยผ่านไป หลายประเทศได้แสดงเจตนารมย์ที่ ฉลาดรอบคอบโดยลดการขาดดุล ภาครฐัและหนี้สาธารณะลง (fiscal consolidation) ทั้งนี้เพื่อสร้าง ‘ที่ว่างทางการคลัง’ (fiscal space) ไว้รองรับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาทนี้ ดูจะสวนทางกับสิ่งที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยที่มีอัตราส่วนรายรับจากภาษีเพียงร้อยละ 13.7 ของรายได้ ประชาชาติ (GDP) ซึ่งถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่นๆ มาก
การทำนโยบายการคลังโดยไม่รอบคอบระมัดระวัง และไม่คำนึงถึง ผลเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยังจะส่งผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) ของประเทศ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้เงิน ของทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนไทยสงูขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นด้วย
6) การแจกเงิน คนละ 10,000 บาท ให้ทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี เป็น นโยบายทีสร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างยิ่ง เศรษฐีและมหาเศรษฐีที่อายุเกิน 16 ปี ล้วนได้รับเงิน ช่วยเหลือ ทั้ง ๆที่ไม่มีความจำเป็น
7) สำหรับประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยเช่นประเทศไทย การเตรียมตัว ทางด้านการคลังเป็นสิ่งจําเป็น ขณะที่จำนวนคนในวัยทำงานลดลง แต่สัดส่วน ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาระการใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการและสาธารณสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้บริหารประเทศที่มองการณ์ไกลจึงควรใช้ งบประมาณอย่างคุ้มค่าและรักษาวินัยและเสถียรภาพทางด้านการคลังอย่าง เคร่งครัด
ด้วยเหตุผลต่างๆ ข้างต้น บรรดานักวิชาการและคณาจารย์ เศรษฐศาสตร์จึงเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก ‘นโยบายแจกเงิน digital 10,000 บาท’ แก่ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เพราะประโยชน์ที่ประเทศจะได้นั้นน้อยกว่า ต้นทุนที่เสียไปอย่างมาก นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้มีการแจกเงินเพื่อกระตุ้น ให้คนจับจ่ายใช้สอยในระยะสั้นๆ โดยไม่คำนึงถึงวินัยและ เสถียรภาพการคลังในระยะยาว
แม้รัฐบาลทุกรัฐบาลจะต้องการกระตุ้น เศรษฐกิจ แต่ต้องไม่ทำลายความ ยั่งยืน ทางการคลังในระยะยาว หากจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่ม คนรายได้น้อย ก็ควรทำแบบเฉพาะเจาะจงแทนการเหวี่ยงแหครอบคลุมคนทุกกลุ่ม เพราะเสถียรภาพทางการคลังของไทยและความสามารถในการจัดเก็บภาษีไม่เอื้อให้ประเทศทำเช่นนั้น
รายชื่อนักวิชาการและคณาจารย์เศรษฐศาสตร์ที่ร่วมออกแถลงการณ์ในครั้งนี้ อาทิ
1 ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
2 ดร.ธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
3 รศ.ดร.อัจนา ไวความดี อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
4 รศ.ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
5 ดร.บัณฑิต นิจถาวร อดีตรองผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย
6 รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
7 ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ อดีตรองอธิการบดีและอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
8 ศ.ดร.ปราณีทินกร อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
9 รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
10 ดร.วิญญู วิจิตรวาทการ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
11 ศ.ดร.สกนธ์ วรัญญูวัฒนา อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
12 รศ.ดร.สุกัญญา นิธังกร อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
13 รศ.ดร.ชยันต์ ตันติวัสดาการ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
14 ดร.สินาด ตรีวรรณไชย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
15 ผศ.ดร.โสภิณ จิระเกียรติกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
16 ผศ.ดร.ประชา คุณธรรมดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
17 ผศ.ดร.ธีรวุฒิศรีพินิจ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
18 อาจารย์ พงศ์พลิน ยิ่งชนม์เจริญ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
19 ผศ.ชล บุนนาค คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
20 ผศ.ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
21 ผศ.สุวรรณี วัธนจิตต์ อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
22 อาจารย์ พีรพัฒน์ เภรีรัตนสมพร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
23 ดร.พิชญา บุญศรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
24 ผศ.สุกําพล จงวิไลเกษม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
25 อาจารย์ กุศล เลี้ยวสกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
26 ผศ.ดร.สุวรรณา สายรวมญาติ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
27 ผศ.ดร.ธนาภรณ์ อธิปัญญากุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
28 รศ.ดร.กนกวรรณ จันทร์เจริญชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
29 รศ.ดร.โสมสกาว เพชรานนท์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
30 ผศ.ดร.ธนสิน ถนอมพงษ์พันธ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
31 รศ.ดร.กัมปนาท วิจิตรศรีกมล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
32 รศ.ดร.เกรียงไกร เตชกานนท์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
33 ผศ.ดร.สันติแสงเลิศไสว คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
34 อาจารย์ พีรพัฒน์ เภรีรัตนสมพร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
35 รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
36 วิรัตน์ วัฒนศิริธรรม อดีตเลขาสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
37 ผศ.ดร.จาริต ติงศภัทิย์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
38 ดร. จิตริยา ปิ่นทอง อดีตเอกอัครราชทูต
39 ภัสสร เวียงเกตุ อดีตรองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
40 รศ. ชูศรี มณีพฤกษ์ อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
41 ผศ.จรินทร์ พิพัฒนกุล อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
42 ผศ.จินตนา เชิญศิริ อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
43 รศ.ดร.ดาว มงคลสมัย อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
44 รศ.ดร. โกวิทย์ กังสนันท์ มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์
45 ผศ.ประภัสสร เลียวไพโรจน์ อดีตรองอธิการบดีและอดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
46 รศ.ดร.ภาวดีทองอุไทย อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
47 รศ.ดร. ภิรมย์ จั่นถาวร อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
48 ศ.ดร. มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด มูลนิธิสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ
49 ผศ.ดร. วัชรียา โตสงวน อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
50 รศ.วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
51 ผศ.ดร.โอม หุวะนันทน์ อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
53 รศ.พรพิมล สันติมณีรัตน์ อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
54 รศ.ดร.เพลินพิศ สัตย์สงวน อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
55 รศ.ดร.ลิลี่ โกศัยยานนท์ อดีตรองอธิการบดีและอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตรธรรมศาสตร
56 รศ.ดร.สมศักดิ์ แต้มบุญเลิศชัย อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
57 รศ.สุขุม อัตวาวุฒิชัย อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
58 ผศ.ดร.วิศาล บุปผเวส สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
59 รศ.ดร.กิริยา กุลกลการ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
60 ผศ.มณีรัตน์ ภิญโญภูษาฤกษ์ อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
61 ผศ.ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มสมบุญชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
62 ผศ.ดร.ดารารัตน์ อานันทนะสุวงศ์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
63 รศ.ดร.สมนึก ทับพันธุ์ อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
64 รศ.ดร.เยาวเรศ ทับพันธุ์ อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
65 อาจารย์ สุพรรณ นพสุวรรณชัย อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
66 ศ. ดร.วุฒิ ศิริวิวัฒน์นานนท์ คณะวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีซิดนีย์ (University of Technology Sydney)
67 รศ.ดร.ธัชนันท์ โกมลไพศาล คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
68 อ.ดร.จีราภา อินธิแสง โธฌีม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
69 อ.ดร.กติกา ทิพยาลัย คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
70 รศ.ปิยะลักษณ์ พุทธวงศ์ เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
71 ผศ ดร กรรณิการ์ ดวงเนตร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
72 รศ.ดร. กรรณิการ์ ดํารงค์พลาสิทธิ์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
73 ผศ.ดร.พงศ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
74 รศ. ธรรมวิทย์ เทอดอุดมธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต
75 รศ.ดร. เขมรัฐ เถลิงศรี คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
76 ผศ.ดร.อัจฉรา ปทุมนากุล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
77 ดร.ธวัชชัย ยงกิตติกุล อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
78 ดร.ธัญญา ศิริเวทิน อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
79 ศ.นพ.เทพ หิมะทองคํา โรงพยาบาลเทพประทาน
80 เกริกไกร จีระแพทย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
81 รศ.จันทร์ทิพย์ บุญประกายแก้ว คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย