“...พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนซื่อสัตย์ เรื่องทุจริตรับรองได้ว่าไม่มี ผมกล้าการีนตี แต่กับคนอื่นที่อยู่รอบตัว ขอไม่วิจารณ์ และเป็นคนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์สูงมาก ผมคุ้นเคยกับพล.อ.ประยุทธ์มา 40-50 ปีแล้ว รับรองได้…”
หลังศึกเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2565 ผ่านพ้นไป
คนกรุงฯ ได้ผู้ว่าฯ คนใหม่ นาม ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ เข้ามาดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการด้วยคะแนนเสียง 1,386,215 คะแนน
อันเป็นผลมาจากแลนด์สไลด์ กระแส ‘ชัชชาติฟีเวอร์’
ส่วนผู้ว่าฯ กทม.คนเก่า ‘พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง’ ที่ได้คะแนนเพียง 214,825 คะแนน
จำต้องเก็บฉาก หลบพ้นจากเวทีการเมืองไปนับตั้งแต่นั้นมา
จนกระทั่ง ช่วงเปิดศักราชเลือกตั้งรอบใหม่ปี 2566 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2566 วันเดียวกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ลงจากหอคอยงาช้าง มาคลุกการเมืองเต็มตัวในฐานะ ‘สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ’
‘บิ๊กวิน’ ก็กลับมาโลดแล่นทางการเมืองในนามสมาชิกพรรคเช่นกัน
จาก นายตำรวจมือปราบ ผู้ผ่านคดีสำคัญ ๆ ของประเทศไทย เช่น คดีสังหารนายศุภฤกษ์ เรือนใจมั่น (โจ ด่านช้าง), คดีคาร์บอมบ์รถอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, คดีจับกุมนายนพพล ประสงค์ศิล (จิ๊บ ไผ่เขียว) เป็นต้น มาสู่ตำแหน่งนักการเมืองท้องถิ่น คุมศูนย์กลางประเทศ เริ่มต้นจากรองผู้ว่าฯ ก่อนที่จะรั้งตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.จากคำสั่ง คสช.
กับก้าวใหม่ทางการเมืองของ พล.ต.อ.อัศวิน ครั้งนี้
'สำนักข่าวอิศรา’ มีโอการสนทนากับเจ้าตัวถึงอนาคตทางการเมือง และอีกหลากหลายประเด็นที่เจ้าตัวพร้อม ‘เปิดหน้าคุย’
@แพ้ ‘ชัชชาติ’ แต่ยังดีกัน
พล.ต.อ.อัศวิน เปิดใจหลังประสบความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2565 ว่า ต้องยอมรับความจริง ช่วงนั้นกระแสของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มาแรงมาก แต่หลังการเลือกตั้ง กับนายชัชชาติ ยังติดต่อพูดคุยกันอยู่ โดยตนจะเรียกนายชัชชาติว่า ‘ทริป’ ซึ่งเป็นชื่อเล่นของนายชัชชาติเสมอ
ส่วนกระแสนายชัชชาติตอนนั้น พล.ต.อ.อัศวิน มองว่า ไม่ได้มาจากพรรคเพื่อไทยเลย มาจากตัวนายชัชชาติคนเดียวล้วนๆ
"เพราะต้องยอมรับว่า ตอนนั้นคุณชัชชาติเตรียมตัวมาดี ใช้เวลา 2-3 ปีในการทำพื้นที่ทั้งออนกราวน์และออนไลน์ ใครก็สู้ไม่ได้จริงๆ"
ส่วนกระแสของนายชัชชาติเมื่อครั้งก่อนจะมีผลให้พรรคเพื่อไทยได้คะแนน 1.3 ล้านเสียงหรือไม่
พล.ต.อ.อัศวิน มองว่า "ไม่มีผล"
และเมื่อนายชัชชาติเข้าบริการกรุงเทพฯแล้ว ก็มีบางโอกาสที่ยกหูมาขอคำปรึกษากับตนด้วย ก็ได้ให้คำปรึกษาไปว่า "ทริป อันไหนดีก็ทำไป ถ้าอันไหนไม่ดีก็ตัดทิ้งไปเลย อย่าไปเกรงใจใคร อย่าคิดว่าทำเพื่อใคร ต้องเกรงใจประชาชนที่เลือกมา 1.3 ล้านเสียงนะ"
พล.ต.อ.อัศวิน ย้ำว่า ตอนนี้ก็ให้กำลังใจนายชัชชาติเสมอ
เมื่อถามว่ากรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว นายชัชชาติมีการปรึกษาหารือบ้างหรือไม่
พล.ต.อ.อัศวินตอบว่า "ไม่มี"
พล.ต.อ.อัศวินยังเล่าด้วยว่า ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับนายชัชชาติตั้งแต่สมัยนายชัชชาติ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยุครัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยช่วงนั้นดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าฯกทม. สมัย ม.รซ.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯกทม. และถ้าเอาจริงๆ ก็เคยทำงานกับพ่อนายชัชชาติ (พล.ต.อ.เสน่ห์ สิทธิพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล) มาแล้วด้วย เพราะพ่อนายชัชชาติเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาของตนเอง
ส่วนกลุ่มรักษ์กรุงเทพที่ตั้งมา ตอนนี้ยังทำงานอยู่ เพราะกลุ่มเด็ก ๆ ยังอยากทำงานในนามกลุ่มนี้อยู่ ส่วนจะสนับสนุนใครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ในนามกลุ่มนี้ ก็เป็นเรื่องของกลุ่มไป เลิกคิดเลยว่า จะเอาตนไปเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.อีก
@เข้า รทสช. เพราะ ’ประยุทธ์’ ชวนมา
เมื่อถามถึงการตัดสินใจเข้ามาสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
พล.ต.อ.อัศวิน เล่าว่า เมื่อช่วงเดือน ธ.ค. 2565 พี่ตู่ (พล.อ.ประยุทธ์) ติดต่อขอให้มาช่วยพรรคหาเสียงในพื้นที่ กทม.หน่อย แต่ช่วงนั้น เพิ่งผ่าตัดรักษาหัวเข่ามา อยู่ในช่วงพักฟื้น ยังไม่สะดวก และยังวิ่งไม่ได้ เบื้องต้นได้ปฏิเสธไป แต่พล.อ.ประยุทธ์ตอบกลับมาว่า ‘มึงนั่งรถเข็นมาช่วยกูก็ได้’ (หัวเราะเสียงดัง)
ส่วนที่เคยกล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่มาสมัครเป็นสมาชิกพรรค เมื่อ 9 ม.ค. 2566 ว่า มาช่วยนายเก่านั้น ส่วนตัวก็ถือว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้านายเก่า และยอมรับว่าที่มาช่วย พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นผู้มีบุญคุณกัน และท่าน (พล.อ.ประยุทธ์) ก็บอกว่า ที่เลือกชวน เพราะวินเป็นคนตรงๆ ง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไร ได้บอกได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ จึงทำให้ไว้ใจกัน
“เราเรียนโรงเรียนนายร้อยด้วยกันมา ท่านนายกฯ (พล.อ.ประยุทธ์) เป็นรุ่นพี่ผม 2 ปี ก็มาจากระบบระเบียบเดียวกัน แต่เรามาคุ้นเคยกันจริงๆ ก็ช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ตอนนั่้นผมก็เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล สักประมาณปี 2549-2550” พล.ต.อ.อัศวินเล่าที่มา
พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.ต.อ.อัศวิน เมื่อครั้งทำงานร่วมกันในฐานะ นายกรัฐมนตรี กับ ผู้ว่าฯกทม.
ที่มาภาพ: อัศวิน ขวัญเมือง
@ยอมรับกระแส กทม.ยังไม่ดี
ส่วนการทำพื้นที่หาเสียง พล.ต.อ.อัศวิน ออกตัวก่อนว่า ในพื้นที่ กทม. เขาไม่ได้คัดเลือกผู้สมัครทั้ง 33 เขต เพราะหน้าที่นี้เป็นของพรรคเป็นผู้บริหารจัดการทั้งหมด
ดังนั้น จึงมีเพียงหน้าที่ในการเดินช่วยหาเสียงเท่านั้น เรื่องอื่นๆไม่ขอยุ่งเกี่ยว และขอไม่เป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย แต่การเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้ปฏิเสธไปแล้วว่า ไม่เป็น แต่ทางพรรคให้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อในลำดับที่ 20
เมื่อถามถึงกระแสพรรคในพื้นที่ กทม. อดีตพ่อเมืองกทม.ยอมรับตรง ๆ ว่า กระแสยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ส่วนกลยุทธ์และแผนหาเสียงต่างๆ เป็นเรื่องของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯลำดับที่ 2 เป็นผู้กำหนด ไม่อยากก้าวล่วง แต่ให้ไปทำอะไร ให้ไปหาเสียงที่ไหน ก็ไปหมด
เมื่อให้เจ้าตัวประเมินว่า จากกระแสที่มองเองว่า ยังไม่ดี คิดว่าพรรคได้ ส.ส.ในกทม.กี่คน พล.ต.อ.อัศวินตอบว่า รวม ๆ น่าจะ 5 คน แบ่งเป็นฝั่งธนบุรี 2 คน และฝั่งพระนคร 3 คน เพราะตอนที่ลงพื้นที่หาเสียงก็ถามชาวบ้านไปตรง ๆ ว่า จะเลือกไหม มีบางส่วนตอบว่า ไม่เลือก เราก็ไม่เป็นไร ขอให้ไปเลือกตั้ง บางส่วนก็ตอบเอาใจ ไม่เลือกเขตให้ แต่แบบบัญชีรายชื่อ จะเลือกพล.อ.ประยุทธ์ก็มี
ผู้สื่อข่าวถามว่า 5 เสียงที่ประเมินไว้ได้นำคะแนนช่วงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ปี 2565 มาประเมินด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.อัศวินตอบว่า ไม่ เพราะตอนนั้นได้แค่ 214,825 คะแนน ตอนนั้นน้อยมาก แต่ถ้าลงสมัคร ณ ตอนนี้ได้แน่ 700,000 - 800,000 คะแนน (หัวเราะ)
@ประเมินปาร์ตี้ลิสต์ได้ 10 ที่นั่ง ส.ส.รวม 40 ที่นั่ง
เมื่อถามอีกว่า แล้วหลังเลือกตั้ง พรรครวมไทยสร้างชาติได้วางบทบาทอะไรให้ทำต่อ
บิ๊กวินตอบว่า ปฏิเสธพรรคไปหมดแล้ว ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 20 คงไม่มาถึงตนอยู่แล้ว ซึ่งส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรครวมไทยสร้างชาติ เซฟโซนอยู่ที่ 10 คนหรือคะแนนประมาณ 4 ล้านคะแนน ส่วนใหญ่มาจากคะแนนนิยมในตัวพล.อ.ประยุทธ์เป็นหลัก ส่วน ส.ส.ภาพรวมทั้งหมดน่าจะได้ 40 ที่นั่ง
เมื่อให้ขยายความคะแนน 4 ล้านคะแนนของพรรค เจ้าตัวสแกนว่า พื้นที่ กทม. คะแนนเก่าสมัยเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ปีที่แล้ว น่าจะเทมาที่พรรคทั้งหมด ภาคใต้ประเมินน่าจะได้คะแนนที่ 1 ล้านคะแนนจากกระแสพล.อ.ประยุทธ์
ขณะที่ภาคกลางและภาคตะวันออกน่าจะได้สัก 1 ล้านคะแนน จากการลงพื้นที่ของนายสุชาติ ชมกลิ่นบวกกับกระแสพล.อ.ประยุทธ์ ขณะที่ภาคเหนือและอีสาน น่าจะได้น้อย ภาคละสัก 400,000 - 500,000 คะแนนก็เก่งแล้ว
@ปิดประตูหวนลงผู้ว่าฯกทม.
“ในส่วนตัวเอง เมื่อลงไปหาเสียงกับชาวบ้านในเขต กทม. ทุกคนรู้จักผมหมด บางคนเข้ามาขอโทษที่ไม่ได้เลือกผมเป็นผู้ว่าฯกทม.ก็มี ผมก็บอกชาวบ้านการเมืองก็งี้แหละ ผมอยู่มานานคนก็เบื่อ มันธรรมดา มันธรรมชาติ ทุกคนอยากลองของใหม่ เราเข้าใจนะ อย่าไปจำอดีตที่เลวร้าย ผมเป็นคนไม่จำอะไรที่เลวร้าย บางส่วนก็บอกรอบหน้าลง (ผู้ว่าฯกทม.) ใหม่สิ เดี๋ยวจะเลือกเลย ผมก็ตอบว่า หัวเด็ดตีนขาด ยังไง ผมก็ไม่ลงผู้ว่าฯ กทม.แล้ว แต่ถ้าอยากแก้ตัวให้ผม ก็เลือกลุงตู่ก็แล้วกัน” อดีตพ่อเมืองกรุงฯ กล่าว
@’บิ๊กตู่’ ซื่อสัตย์-มั่นคงในชาติ ศาสน์ กษัตริย์
การสนทนามาถึงคำถามว่า ที่พูดข้างต้นว่า คนที่อยู่มานานมากๆ ก็เป็นธรรมดาที่คนจะเบื่อนั้น แล้วสามารถตอบได้หรือไม่ว่า ทำไมประชาชนต้องเลือกให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไปต่อทั้งที่บริหารประเทศมา 8 ปี
อดีตพ่อเมือง กทม.ตอบว่า "เพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนซื่อสัตย์ เรื่องทุจริตรับรองได้ว่าไม่มี ผมกล้าการีนตี แต่กับคนอื่นที่อยู่รอบตัว ขอไม่วิจารณ์ และเป็นคนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์สูงมาก ผมคุ้นเคยกับพล.อ.ประยุทธ์มา 40-50 ปีแล้ว รับรองได้ "
@‘ออกซฟอร์ด คอนเนกชั่น’ พาลูกชายซบ ปชป.
อีกคำถามที่ไม่ถามก็ไม่ได้ นั่นคือ กรณีที่ ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง อดีตโฆษก กทม. บุตรชายคนสุดท้องไปลงสมัคร ส.ส.กทม.ในเขตคลองเตย-วัฒนา กับพรรคประชาธิปัตย์ มีการปรึกษาหารือกันอย่างไร ทำไมพ่อลูกลงสมัครคนละพรรค เรื่องนี้ บิ๊กวินระบุว่า ตัวของเอิร์ธ (ชื่อเล่น ร.ต.อ.พงศกร) ตอนแรกมีหลายพรรคการเมืองมาทาบทาม
ทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่พล.อ.ประยุทธ์บอกให้ชวนมา แต่บุตรชายปฏิเสธ ด้านหนึ่ง นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย พรรคก้าวไกล ก็มาชวนบุตรชายเช่นกัน เพราะทั้งคู่เรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดด้วยกันมา หรือแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคก็ติดต่อผ่านมาทางตนว่า อยากได้ลูกชายไปช่วยงาน แต่ก็ปฏิเสธไปเช่นกัน
สำหรับเหตุผลที่ตัดสินใจเลือกอยู่พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากลูกชายมองว่าเป็นพรรคเก่าแก่ และในส่วนตัวก็ผูกพันกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วย จึงตัดสินใจเลือกอยู่พรรคนี้
เมื่อถามว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เจ้าตัวสนใจการเมือง พล.ต.อ.อัศวินมองว่า เพราะในช่วงที่เรียนปริญญาโท ลูกชายเรียนจบคณะรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสาธารณะ ( Master of Public Policy) มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งก็ทำให้เกิดความใจการทำงานการเมืองขึ้นมา และในทางส่วนตัวบุตรชายมีความสนิทสนมกับนายอภิสิทธิ์ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องมหาวิทยาลัยเดียวกัน ซึ่งในก๊วนของลูกชายนอกจากนายพริษฐ์ นายอภิสิทธิ์แล้ว ยังมีนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมด้วย
ส่วนตนก็ให้คำแนะนำบุตรชายไปว่า อย่าไปเป็นนักการเมืองที่รีดไถ ขูดรีดประชาชน ถ้าไม่มีเงินให้มาขอแม่ (นางวาสนา ขวัญเมือง) เพราะแม่มีเงินเยอะแยะ ส่วนการทำงานทางการเมือง จะทำอะไร จะเชื่ออย่างไร ก็ทำไป
ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รุ่นพี่รุ่นน้องจาก ม.ออกซฟอร์ด
@หลังเลือกตั้ง อาจกลับไปช่วยเมียทำงาน
ช่วงท้าย กับคำถามว่า หลังพ้น 14 พ.ค. 2566 แล้ว ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้อยู่ต่อ จะอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติต่อหรือไม่ พล.ต.อ.อัศวินตอบว่า ขอดูก่อนว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะตอนนี้ทางบ้านฝั่งภรรยา มีธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และตลาดนัดที่ที่เมืองพัทยา ตอนนี้ทำงานคนเดียว ก็อยากเข้าไปช่วยภรรยาทำงาน
นี่คือสีสันของอดีตผู้ว่าฯกทม. คนที่ 16 ต้องจับตาดูว่า การหวนมาช่วยหาเสียงให้ พล.อ.ประยุทธ์ รอบนี้
จะนำพาคะแนนหวนกลับมาเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติจนถล่มถลาย ชนิดตบหน้าโพลสำนักต่างๆหรือไม่
วันอาทิตย์นี้ (14 พ.ค. 66) คงได้รู้คำตอบกัน ..
อ่านประกอบ :