
ครม.รับทราบ ‘หนี้สาธารณะ’ ณ สิ้นปีงบ 68 แตะ 12.23 ล้านล้าน คิดเป็น 65.08% ต่อจีดีพี ขณะที่สัดส่วน ‘ภาระหนี้รัฐบาลต่อประมาณการรายได้ฯ’ อยู่ที่ 37.12% ด้าน ‘ก.คลัง’ เตือน ‘หนี้สาธารณะ-ภาระหนี้รัฐบาลฯ’ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่เศรษฐกิจโตอย่าง ‘ค่อยเป็นค่อยไป’ ส่อกระทบ ‘เสถียรภาพการคลัง’ ประเทศ
....................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ณ วันสิ้นปีงบประมาณ 2568 ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ โดย วันสิ้นปีงบฯ 2568 (30 ก.ย.2568) หนี้สาธารณะคงค้าง มีจำนวน 12.23 ล้านล้านบาท คิดเป็น 65.08% ของ GDP เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 0.50 ล้านล้านบาท
โดยการเพิ่มขึ้นที่สำคัญเกิดจากการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมถึงเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ผ่านโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
สำหรับรายละเอียดของหนี้เงินกู้คงค้างของหน่วยงานของรัฐ ประกอบด้วย
1.รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ได้แก่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 0.03 ล้านล้านบาท
2.รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และธุรกิจประกันสินเชื่อที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน อาทิ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 0.56 ล้านล้านบาท
3.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 0.05 ล้านล้านบาท
4.ธนาคารแห่งประเทศไทย มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 4.40 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาความเสี่ยงทางการคลัง พบว่า หนี้สาธารณะ จำนวน 12.23 ล้านล้านบาทนั้น หนี้สาธารณะคงค้างส่วนใหญ่เป็นหนี้ในประเทศ จำนวน 12.13 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 94.19% ของหนี้สาธารณะคงค้าง และหนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณโดยตรงจำนวน 10.50 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 86.67% ของหนี้สาธารณะคงค้าง ซึ่งรัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนเมื่อถึงกำหนด สำหรับหนี้ที่ไม่เป็นภาระต่องบประมาณโดยตรง หน่วยงานจะเป็นผู้รับภาระการชำระหนี้ โดยใช้แหล่งรายได้อื่นที่ไม่ใช่งบประมาณมาชำระหนี้
นอกจากนี้ ในส่วนของหนี้เงินกู้ของหน่วยงานของรัฐที่ไม่นับเป็นหนี้สาธารณะนั้น ไม่มีผลกระทบต่อภาระทางการคลัง หรือเงินงบประมาณแผ่นดินในภาพรวม เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีสถานะการดำเนินงานที่มั่นคงและมีรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้เงินกู้เองได้
“การกู้เงินของรัฐบาลแม้จะทำให้มีหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น แต่กลับมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการกู้เงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วางรากฐาน การพัฒนา สร้างรายได้และเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่กระจายไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเป็นการลงทุน ด้านคมนาคม สาธารณูปการ และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นสำคัญ เพื่อกระจายความเจริญ
ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมขยายโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศซึ่งล้วนมีส่วนช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นและเศรษฐกิจของประเทศขยายตัว อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะทำให้สัดส่วนของหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ” กระทรวงการคลัง ระบุ
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ในการประชุม ครม. วันเดียวกัน ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ณ วันที่ 30 ก.ย.2568 โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นจริง ณ วันที่ 30 ก.ย.2568 ยังคงอยู่ภายใต้กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ กำหนด โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 65.08% ยังอยู่ในกรอบไม่เกิน 70%
2.สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ อยู่ที่ 37.12% ยังอยู่ในกรอบไม่เกิน 50%
3.สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด อยู่ที่ 0.81% ยังอยู่ในกรอบไม่เกิน 10%
4.สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ อยู่ที่ 0.04% ยังอยู่ในกรอบไม่เกิน 5%

กระทรวงการคลังรายงาน ครม. ว่า การกู้เงินของรัฐบาลในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลยังคงต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล และต้องปรับโครงสร้างหนี้ของการกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้จะทำให้มีหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น และมีการใช้เครื่องมือระดมทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้นตามสภาพคล่องและความต้องการของนักลงทุนในช่วงที่ระดมทุน
แต่เป็นความจำเป็นเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ฟื้นตัวตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งการกู้เงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วางรากฐานการพัฒนา สร้างรายได้และ เร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่กระจายไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเป็นการลงทุนด้านคมนาคม สาธารณูปการ และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นสำคัญ เพื่อกระจายความเจริญ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ขยายโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศซึ่งล้วนมีส่วนช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นและเศรษฐกิจของประเทศขยายตัว
อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะทำให้สัดส่วนของหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มขึ้น รวมถึงการที่มีหนี้กระจุกตัวและทยอยครบกำหนดเป็นจำนวนมากตามสัดส่วนเครื่องมือระดมทุนระยะสั้นที่เพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดฯ เป็นต้นมา ส่งผลให้สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศในระยะต่อไปได้
ในการนี้ กระทรวงการคลังได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบ การบริหารจัดการหนี้สาธารณะเพื่อสนับสนุนการลงทุนและการดำเนินมาตรการทางการคลัง รวมทั้งการชำระหนี้ อย่างเคร่งครัดโดยคำนึงถึงต้นทุนและความเสี่ยงภายใต้เงื่อนไขความจำเป็นและข้อจำกัดตามปัจจัยสำคัญที่กล่าวข้างต้น
อ่านประกอบ :
‘คลัง’เผย‘ภาระหนี้รบ.ต่อประมาณการรายได้’พุ่ง 42.47%-‘หนี้สาธารณะ/จีดีพี’แตะ 64.59%
หนี้กระจุกตัว! ครม.รับทราบเพิ่มเพดาน‘ภาระหนี้ต่อประมาณการรายได้’ไม่เกิน 50% จากเดิม 35%
รายจ่ายเพิ่ม-หนี้สาธารณะสูง! เปิดรายงานความเสี่ยง‘การคลัง’ปี 67-แนะปฏิรูปโครงสร้างรายได้
ครม.รับทราบ‘หนี้สาธารณะ’ส.ค.67 แตะ 11.72 ล้านล.-64.02% ต่อจีดีพี-'คลัง'ชี้กู้กระตุ้นศก.
