
‘คลัง’ รายงาน ‘ครม.’ เผย ‘ภาระหนี้รัฐบาลต่อประมาณการรายได้ฯ’ มี.ค.68 พุ่ง 42.47% ขณะที่สัดส่วน ‘หนี้สาธารณะต่อจีดีพี’ แตะ 64.59%
..............................................
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบการทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เสนอ โดยทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1.คงกรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศตามเดิม ที่ไม่เกินร้อยละ 70 2.ขยายกรอบสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ จากเดิมที่ไม่เกินร้อยละ 35 เป็นไม่เกินร้อยละ 50 3.คงกรอบสัดส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมดตามเดิม ที่ไม่เกินร้อยละ 10 และ 4.คงกรอบสัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออก สินค้าและบริการตามเดิม ที่ไม่เกินร้อยละ 5 (อ่านประกอบ : หนี้กระจุกตัว! ครม.รับทราบเพิ่มเพดาน‘ภาระหนี้ต่อประมาณการรายได้’ไม่เกิน 50% จากเดิม 35%)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในการประชุม ครม. วันเดียวกัน (9 ก.ย.) ที่ประชุม ครม. ยังรับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ณ วันที่ 31 มี.ค.2568 โดยกระทรวงการคลัง รายงานว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นจริง ณ วันที่ 31 มี.ค.2568 ยังคงอยู่ภายใต้กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
โดย (1) สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ อยู่ที่ร้อยละ 64.59 ไม่เกินกรอบที่กำหนดไว้ร้อยละ 70 (2) สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ อยู่ที่ร้อยละ 42.47 ไม่เกินกรอบที่กำหนดไว้ร้อยละ 50 (3) สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด อยู่ที่ร้อยละ 0.89 ไม่เกินกรอบที่กำหนดไว้ร้อยละ 10 และ (4) สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ อยู่ที่ร้อยละ 0.04 ไม่เกินกรอบที่กำหนดไว้ร้อยละ 5

“การกู้เงินของรัฐบาลในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลยังคงต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล และต้องปรับโครงสร้างหนี้ของการกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (การแพร่ระบาดฯ) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้จะทำให้มีหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น และมีการใช้เครื่องมือระดมทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้นตามสภาพคล่องและความต้องการของนักลงทุนในช่วงที่ระดมทุน
แต่เป็นความจำเป็นเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ฟื้นตัวตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งการกู้เงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วางรากฐานการพัฒนา สร้างรายได้และเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่กระจายไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเป็นการลงทุนด้านคมนาคมสาธารณูปการ และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นสำคัญ เพื่อกระจายความเจริญ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ขยายโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งล้วนมีส่วนช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นและเศรษฐกิจของประเทศขยายตัว
อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะทำให้สัดส่วนของหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มขึ้น รวมถึงการที่มีหนี้กระจุกตัวและทยอยครบกำหนดเป็นจำนวนมากตามสัดส่วนเครื่องมือระดมทุนระยะสั้นที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดฯ เป็นต้นมา ส่งผลให้สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศในระยะต่อไปได้
ในการนี้ กระทรวงการคลังได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบการบริหารจัดการหนี้สาธารณะ เพื่อสนับสนุนการลงทุนและการดำเนินมาตรการทางการคลัง รวมทั้งการชำระหนี้อย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงต้นทุนและความเสี่ยงภายใต้เงื่อนไขความจำเป็น และข้อจำกัดตามปัจจัยสำคัญที่กล่าวข้างต้น” กระทรวงการคลัง รายงาน ครม.
อ่านประกอบ :
หนี้กระจุกตัว! ครม.รับทราบเพิ่มเพดาน‘ภาระหนี้ต่อประมาณการรายได้’ไม่เกิน 50% จากเดิม 35%
รายจ่ายเพิ่ม-หนี้สาธารณะสูง! เปิดรายงานความเสี่ยง‘การคลัง’ปี 67-แนะปฏิรูปโครงสร้างรายได้
ครม.รับทราบ‘หนี้สาธารณะ’ส.ค.67 แตะ 11.72 ล้านล.-64.02% ต่อจีดีพี-'คลัง'ชี้กู้กระตุ้นศก.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา