ครม.รับทราบ ‘หนี้สาธารณะ’ ณ 31 ส.ค.67 อยู่ที่ 11.72 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.02% ต่อจีดีพี ‘คลัง’ ชี้หนี้เพิ่มสูงขึ้น เพราะนำไปใช้ขับเคลื่อน-กระตุ้นเศรษฐกิจ
..................................
เมื่อวันที่ 5 พ.ย. นายนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบรายงานสถานะของหนี้สาธารณะตามมาตรา 35 (1) แห่ง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่ รมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ เสนอ โดย ณ วันที่ 31 ส.ค.2567 หนี้สาธารณะคงค้าง มีจำนวน 11,728,149.06 ล้านบาท หรือคิดเป็น 64.02% ของจีดีพี ประกอบด้วย
1.หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน 9,781,833.59 ล้านบาท หรือคิดเป็น 53.39% ของจีดีพี
2.หนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จำนวน 583,627.00 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.19% ของจีดีพี
3.หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน 1,060,739.48 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.79% ของจีดีพี
4.หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินโดยมีรัฐบาลค้ำประกัน จำนวน 189,254.59 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.03% ของจีดีพี
5.หนี้หน่วยงานของรัฐ จำนวน 112,694.10 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.62% ของจีดีพี
ทั้งนี้ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 กำหนดสัดส่วนเพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ประกอบด้วย 1.สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่เกิน 70% 2.สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณไม่เกิน 35% 3.สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมดไม่เกิน 10% และ 4.สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ ไม่เกิน 5%
กระทรวงการคลังรายงาน ครม. ว่า การกู้เงินของรัฐบาลแม้จะทำให้มีหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น แต่กลับมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการกู้เงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วางรากฐานการพัฒนา สร้างรายได้และเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่กระจายไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเป็นการลงทุนด้านคมนาคม สาธารณูปการ และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นสำคัญ เพื่อกระจายความเจริญ
ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ขยายโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นและเศรษฐกิจของประเทศขยายตัว อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะทำให้สัดส่วนของหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการหนี้สาธารณะเพื่อสนับสนุนการลงทุนและการดำเนินมาตรการทางการคลัง รวมทั้งการชำระหนี้อย่างเคร่งครัดและครบถ้วนตามกรอบการบริหารจัดการหนี้สาธารณะ