
ปล้นทองกลางห้างบิ๊กซี สุไหงโก-ลก พบคนร้ายเกือบ 20 คนวางแผนแยกกันปฏิบัติการ 3 กลุ่ม “ปล้นรถ - ปล้นทอง – วางบึ้ม” ได้ทองไปมูลค่ากว่า 35 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ไล่ลำดับเส้นทางหลบหนีพบปลายทางโผล่ท่าข้ามชายแดน จอดรถทิ้งในสวนปาล์ม อ.แว้ง ด้าน กอ.รมน.ฟันธงฝีมือบีอาร์เอ็น ขณะแหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงคาดใช้ “กลุ่มหน้าขาว” ออกมาก่อเหตุ
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 6 ต.ค. 68 พล.ต.ต.ชุมพล ศักดิ์สุรีย์มงคล ผบก.สส.จชต. พ.ต.อ.ดิเรก โฉมยงค์ รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส พ.ต.อ.นิยม สุวรรณคง ผกก.สส.ภ.จว.นราธิวาส พ.ต.อ.เจษฎาวิทย์ อินทร์ประพันธ์ ผกก.สภ.สุไหงโก-ลก เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.กองกำกับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมเดินทางมายังห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาสุไหงโก-ลก ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 867 ถ.ประชาวิวัฒน์ ต.สุไหงโก-ลก อ.สุไหงโก-ลก
เพื่อติดตามความคืบหน้าเหตุคนร้ายแต่งกายชุดดำพร้อมอาวุธปืนครบมือ บุกปล้นทองรูปพรรณร้านทองเยาวราชกรุงเทพ ซึ่งตั้งอยู่ภายในห้างบิ๊กซี เหตุเกิดเมื่อเวลา 18.30 น.ของวันที่ 5 ต.ค.68 ที่ผ่านมา โดยคนร้ายยังได้ใช้อาวุธปืนยิง ส.อ.บุริศวร์ ระดาชัย นายสิบอาวุธเบาชุดรบพิเศษที่ 408 ได้รับบาดเจ็บ ก่อนคนร้ายจะหลบหนีไป

ทางเจ้าหน้าที่ได้เรียก รปภ.ของห้างบิ๊กซีทั้งหมด ที่เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ในช่วงที่คนร้ายก่อเหตุ เพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุร้านทอง โดยเจ้าหน้าที่ได้เก็บรวบรวมลายนิ้วมือแฝงของกลุ่มคนร้าย ที่ติดอยู่บริเวณตู้กระจกของตู้โชว์ทองรูปพรรณ รวมทั้งได้เก็บรวบรวมกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้บริเวณที่ต่างๆภายในห้างบิ๊กซี
@@ กวาดทองไป 600 บาท มูลค่ากว่า 35 ล้านบาท
ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ทราบจาก น.ส.อรุณ สุทธิสถิตย์ ผู้จัดการภาค ร้านทองเยาวราชกรุงเทพว่า ทองรูปพรรณที่ตู้โชว์ไว้ในร้านเบื้องต้นมีประมาณ 800 บาท ซึ่งคาดว่าคนร้ายปล้นไปได้ประมาณ 600 บาท ซึ่งมีมูลค่า 35,670,000 บาท ซึ่งจะมีการตรวจสอบบัญชีควบคุมอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งว่า ทองรูปพรรณที่คนร้ายได้ไปทั้งหมดกี่บาท
@@ คนร้าย 3 กลุ่มแยกกัน “ปล้นรถ - ปล้นทอง - วางบึ้ม”

ด้าน พล.ต.ต.ชุมพล ผบก.สส.จชต. คาดการว่ากลุ่มคนร้ายทั้งหมดได้มีการประชุมวางแผนไว้เป็นอย่างดี โดยประเมินว่าคนร้ายได้แยกกันทำงานออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 ทำหน้าที่ปล้นรถยนต์กระบะขอชาวบ้าน 2 คัน มาใช้ก่อเหตุมีจำนวน 5 คน
กลุ่มที่ 2 ทำหน้าที่บุกปล้นทองในห้างบิ๊กซี พบภาพในกล้องวงจรปิดมี จำนวน 10 คน
กลุ่มที่ 3. ทำหน้าที่วางระเบิด มีจำนวนประมาณ 5 คน
ทำให้คาดว่าปฏิบัติการอุกอาจของกลุ่มคนร้ายในครั้งนี้ น่าจะมีผู้ร่วมก่อเหตุรวมทั้งหมดประมาณ 19 - 20 คน
ส่วนกลุ่มคนร้ายที่ทำหน้าที่บุกปล้นทอง คาดว่าจะหลบหนีไปเส้นทางสายสากอ-แว้ง ที่สามารถอาศัยช่องทางธรรมชาติหลบหนี เพื่อไปกบดานในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้ตามเส้นทางดังกล่าวในการแกะรอย
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ออกตระเวนตรวจจุดที่เกิดเสียงระเบิดขึ้นในช่วงที่กลุ่มคนร้ายกำลังหลบหนี ซึ่งเกิดเสียงระเบิดขึ้น 2 ครั้ง โดยจุดแรกคนร้ายลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้าส่องสว่างที่ติดตั้งไว้บริเวณเกาะกลางถนน เส้นทางสุไหงโก-ลก - สุไหงปาดี ช่วงบริเวณบ้านโคกสยา หมู่ 5 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี ซึ่งห่างจากห้างบิ๊กซี ประมาณ 4-5 กิโลเมตร ทำให้เสาไฟฟ้าโค่นล้มขว้างถนน

ส่วนจุดที่ 2 อยู่ที่ซอยชุมชนโต๊ะลือเบ ซอย 6 โดยคนร้ายนำระเบิดไปวางไว้ที่เสาปูนซีเมนต์กั้นทางรถไฟ ทำให้เสาปูนซีเมนต์ได้รับความเสียหาย 1 ต้น ซึ่งจุดนี้อยู่ห่างจากห้างบิ๊กซี ประมาณ 1 กิโลเมตร
นอกจากนี้ยังพบว่า มีรถยนต์ของชาวบ้านจำนวนหลายคันได้แล่นเหยียบตะปูเรือใบที่คนร้ายโปรยไว้บนถนนระหว่างหลบหนี ทำให้ต้องจอดรถทิ้งเอาไว้ เพื่อรอให้ช่างมาซ่อมปะยาง ให้กลับคืนมาใช้งานได้ตามปกติ
@@ ทิ้งกระบะใช้ก่อเหตุในสวนปาล์ม อ.แว้ง

ล่าสุดมีรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ ร้อย ปชด.ที่ 4 ได้พบรถยนต์ต้องสงสัยจำนวน 2 คัน ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุปล้นร้านทองในห้างบิ๊กซี คือ รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ ทะเบียน บท 7187 ปัตตานี และรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแมคซ์ ทะเบียน บค 6521 นราธิวาส ถูกนำไปจอดทิ้งไว้ที่ภายในสวนปาล์มบ้านตอออ หมู่ 1 ต.กายูคละ อ.แว้ง จึงได้ขอสนับสนุนเจ้าหน้าที่ชุดอีโอดี และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน มาทำการตรวจสอบเพื่อป้องกันหวั่นคนร้ายวางระเบิดทิ้งไว้ภายในรถยนต์กระบะที่ทิ้งไว้ ก่อนที่จะมีการตรวจสอบคราบลายนิ้วมือแฝงที่ติดไว้ตามบริเวณต่างๆ ของรถยนต์กระบะทั้ง 2 คัน
@@ แกะรอยเส้นทางหลบหนี ปลายทางท่าข้ามชายแดน

ด้านความคืบหน้าปฏิบัติการไล่ล่ากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุบุกปล้นร้านทองเยาวราชกรุงเทพ ภายในห้างบิ๊กซี สาขาสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ล่าสุดหน่วยงานความมั่นคงได้เบาะแสสำคัญเกี่ยวกับเส้นทางที่คนร้ายใช้ในการหลบหนี ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการวางแผนมาเป็นอย่างดีเพื่อมุ่งหน้าออกนอกประเทศ
จากการตรวจสอบและไล่เรียงลำดับเส้นทางหลบหนีของคนร้ายพบว่า คนร้ายขับรถกระบะ 2 คัน ออกจากห้างบิ๊กซี มุ่งหน้าขึ้นสู่ถนนหลักและเลี้ยวซ้าย แล้วขับต่อไปเป็นระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ก่อนจะเลี้ยวซ้ายอีกครั้งที่บริเวณแยกจาแบปะ ซึ่งเป็นเส้นทางมุ่งหน้าไปยัง อ.สุไหงปาดี
จากนั้นคนร้ายได้หักรถเข้าสู่ถนนชนบท ซึ่งเป็นเส้นทางสายรอง เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจของด่านความมั่นคงบนถนนสายหลัก เมื่อเข้าสู่ถนนชนบทได้ประมาณ 4 กิโลเมตร คาดว่า คนร้ายได้เดินทางมาถึงสี่แยกสำคัญแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าทุกเส้นทางจากแยกดังกล่าวสามารถใช้เป็นช่องทางเชื่อมต่อไปยังแนวชายแดนไทย-มาเลเซียได้
แหล่งข่าวจากหน่วยความมั่นคงให้ข้อมูลว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าคนร้ายหลีกเลี่ยงเส้นทางตรงที่มุ่งหน้าไปยัง อ.แว้ง เพราะจะเจอด่านตรวจถาวรของเจ้าหน้าที่ แต่กลับเลือกใช้เครือข่ายถนนชนบทที่ซับซ้อนแทน ซึ่งเส้นทางเหล่านี้เป็นที่ทราบกันดีว่ามี “ท่าเรือธรรมชาติ” หรือท่าข้ามเถื่อนริมฝั่งแม่น้ำสุไหงโก-ลก อยู่เป็นจำนวนมากก่อนจะถึงแนวชายแดนจริง ทำให้เชื่อได้ว่า เป้าหมายสุดท้ายของคนร้ายคือการนำรถไปซ่อนและหลบหนีข้ามแดนไปยังประเทศมาเลเซีย
จากเบาะแสดังกล่าวทำให้มีการสั่งการให้หน่วยกำลังในพื้นที่ ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ยกระดับมาตรการสกัดกั้นในระดับสูงสุดตลอดแนวตะเข็บชายแดน อ.สุไหงโก-ลก และอำเภอใกล้เคียง โดยได้มีการวางกำลังเข้าควบคุมและสั่งปิดช่องทางท่าข้ามธรรมชาติตามแนวแม่น้ำสุไหงโก-ลก ทุกจุดอย่างแน่นหนา เพื่อตัดเส้นทางการหลบหนีของคนร้าย และกดดันให้กลุ่มผู้ก่อเหตุไม่สามารถข้ามแดนไปได้ พร้อมประสานงานกับทางการมาเลเซียอย่างใกล้ชิดเพื่อเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนฝั่งตรงข้ามแล้ว
@@ กอ.รมน.ฟันธงฝีมือบีอาร์เอ็น

ด้าน พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้กล่าวยืนยันต่อผู้สื่อข่าวว่า จากการประเมินพฤติการณ์และรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด ยืนยันได้ว่ากลุ่มที่ก่อเหตุเป็นกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่
พ.อ.ยุทธนาม กล่าวว่า พล.ท.นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้สั่งการกำชับไปยังหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสและหน่วยกำลัง 3 ฝ่าย ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ให้ยกระดับปฏิบัติการไล่ล่ากลุ่มคนร้ายอย่างเร่งด่วน โดยใช้ “มาตรการคุมเข้มและกดดันขั้นสูงสุด” ด้วยการตั้งจุดตรวจจุดสกัดบนถนนทุกสาย และซีลพื้นที่ตลอดแนวชายแดนเพื่อตัดเส้นทางการหลบหนี
@@ ใช้ “กลุ่มหน้าขาว” ไร้ประวัติมาก่อเหตุ
ขณะที่แหล่งข่าวหน่วยความมั่นคงในพื้นที่รายหนึ่ง ได้ให้ความเห็นเชิงลึกว่า พฤติกรรมของคนร้ายที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด คาดว่าน่าจะเป็น “กลุ่มหน้าขาว” ซึ่งหมายถึงสมาชิกแนวร่วมรุ่นใหม่ที่ยังไม่มีประวัติหรือหมายจับติดตัว ทำให้การปฏิบัติการทำได้ง่ายกว่ากลุ่มแกนนำที่มีชื่ออยู่ในบัญชีเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่
“รูปแบบการก่อเหตุถือเป็นละครฉากเดิมที่เคยเกิดขึ้น คือ ปล้นรถจากชาวบ้านเพื่อนำมาใช้ก่อเหตุจริง โดยมีอีกทีมคอยสร้างสถานการณ์ด้วยการวางระเบิดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและเปิดทางหนี จากนั้นจะนำรถไปจอดทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน แม้เจ้าหน้าที่พอคาดการณ์เส้นทางได้ แต่ต้องยอมรับว่าฝ่ายที่จ้องจะลงมือย่อมมีความได้เปรียบกว่าฝ่ายที่เฝ้าระวัง อย่างไรก็ตาม การติดตามกดดันจะดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น” แหล่งข่าวระบุ
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางการมาเลเซียได้ออกประกาศเตือนให้พลเมืองชาวมาเลเซียหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทยในช่วงนี้ ขณะที่ตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-มาเลเซีย ได้มีการปิดช่องทางธรรมชาติต่างๆ ทันทีหลังเกิดเหตุ แต่แหล่งข่าวเชื่อว่ากลุ่มคนร้ายชุดปฏิบัติการหลักน่าจะสามารถหลบหนีข้ามแดนไปได้ตั้งแต่คืนเกิดเหตุแล้ว
@@ สรุปเหตุการณ์ - ความเสียหาย

คนร้ายประมาณ 10 คน ใช้เวลา 10 นาที 42 วินาที เข้าไปปล้นทองคำจำนวน 600 บาท มูลค่า 35.6 ล้านบาท จากร้านทองเยาวราชกรุงเทพในห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาสุไหงโก-ลก
มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย คือ ส.อ.บุริศวร์ ระดาชัย ถูกยิงอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว และนายจีรศักดิ์ เปาะหนิ ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว
ทั้งยังมีการสร้างสถานการณ์ ด้วยการวางระเบิด 3 จุด โดย 2 จุด เกิดการระเบิดจริง คือ 1.บริเวณเสาไฟฟ้า บน ถ.สุไหงโก-ลก - สุไหงปาดี 2.เสาปูนซีเมนต์ ในชุมชนโต๊ะลือเบ ซอย 6 และอีก 1 จุด บริเวณหน้าห้างบิ๊กซีเจ้าหน้าที่เก็บกู้ได้ทัน
