อาจารย์กฤษฎา บุญเรือง นักวิชาการอิสระ จากรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา สรุปประเด็นการหารือระหว่าง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ และประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ที่ทำเนียบขาว เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025
- สร้างภาพลักษณ์แห่งประวัติศาสตร์แบบช็อกโลกขณะถ่ายทอดสดโดยสื่อมวลชน
- เป็นบรรยากาศที่โต้เถียงกันอย่างดุเดือดโดยไม่มีใครยอมใคร และการเจรจาต่อรองกดดันตัดพ้อกันกลับไปกลับมา ซึ่งแตกต่างจากมารยาทและประเพณีของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระดับสูง
- ตัวอย่างบางตอนของคำกล่าว...
ทรัมป์กล่าวว่า “ขณะนี้คุณไม่อยู่ในฐานะที่มีไพ่อะไรอยู่ในมือที่จะมาต่อรอง“
ด้านเซเลนสกีตอบว่า “ผมไม่ได้กำลังเล่นไพ่นะ”
ทรัมป์กล่าวย้ำว่า “คุณกำลังเดิมพันด้วยชีวิตของผู้คนนับล้าน คุณกำลังเดิมพันกับสงครามโลกครั้งที่สาม”
และในช่วงหนึ่ง เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวหาเซเลนสกีว่า
"ไม่เคารพ ต่อเจ้าภาพการประชุม”
“คุณเคยพูดว่า ‘ขอบคุณ’ สักครั้งไหม?” แวนซ์ถามเซเลนสกีถึงการแสดงความขอบคุณที่สหรัฐช่วยเหลือยูเครน
เซเลนสกีตอบว่า “ผมซาบซึ้งใจเสมอและวันนี้ก็ขอบคุณ”
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือภาษากายของทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นตึงเครียดไปหมด
หลังจากการประชุม ผู้นำทั้งสองคนได้แยกห้องกัน และทรัมป์สั่งให้ทีมยูเครนออกจากทำเนียบขาว ทีมยูเครนขอกลับไปเจรจาอีกครั้ง แต่ฝ่ายสหรัฐฯปฏิเสธ
ทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวว่า “เมื่อเขาพร้อมที่จะเอาสันติภาพ ก็มาประชุมกันได้อีก” ซึ่งหมายถึงระหว่างที่เซเลนสกีอยู่ในสหรัฐฯ และยังไม่เดินทางกลับภูมิลำเนา
การแถลงข่าวร่วมที่ได้เตรียมการไว้นั้นถูกสั่งให้ยกเลิก และเซเลนสกีออกจากทำเนียบขาวโดยไม่ได้มีการลงนามข้อตกลงทวิภาคีเรื่องแร่หายาก
ประธานาธิบดีเซเลนสกี ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์หลังจากปะทะคารมกับทรัมป์ว่า เขาไม่คิดว่าจำเป็นต้องขอโทษประธานาธิบดีทรัมป์
“ผมเคารพประธานาธิบดี ผมเคารพชาวอเมริกัน และผมคิดว่าเราควรจะต้องเปิดใจกว้างมากๆ และจริงใจต่อกันมากๆ ผมไม่แน่ใจว่าเราทำอะไรแย่”
ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯเผยว่า ความสัมพันธ์ของผู้นำทั้งสองคงกู่ไม่กลับ และคิดว่าเป็นความหายนะของความสัมพันธ์ทวิภาคี ไม่แน่ใจว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรหากเซเลนสกียังดำรงตำแหน่งอยู่
@@ 7 ข้อสังเกต “ทีมทรัมป์” จัดฉากหวังผลการเมือง?
1. โดยปกติแล้วการเจรจาเรื่องสำคัญอย่างนี้จะต้องปิดห้องคุยกัน และมีรายละเอียดเตรียมมาแล้วโดยเจ้าหน้าที่หลายระดับ
ส่วนผู้นำระดับสูงก็มาสรุปในขั้นตอนสุดท้าย แล้วมักจะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้สัมภาษณ์และถ่ายภาพประมาณ 90 วินาที และเจ้าหน้าที่ก็จะเชิญทุกคนออกจากห้องไป
2.บางครั้งจะมีการแถลงและลงนามร่วมกันเป็นทางการ โดยเชิญสื่อมวลชนมาร่วมอีกครั้งใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ในห้องประชุมภายในอาคาร หรือสวนกุหลาบในทำเนียบขาว
3.ผู้สังเกตการณ์หลายคนวิจารณ์ว่า ทางอเมริกาเตรียมเรื่องนี้เป็นกับดักกระตุ้นอารมณ์ให้เกิดความบาดหมาง เป็นโอกาสให้ทางอเมริกาแสดงความเข้มแข็งและโชว์ฝีมือการเจรจาต่อหน้าสื่อมวลชน และให้โลก (โดยเฉพาะกลุ่มขวาจัดที่สนับสนุนทรัมป์) เห็นว่าผู้นำสหรัฐฯมีอิทธิพลและสามารถกำหนดทิศทางที่ตนเองต้องการได้
4.เรื่องการให้ความช่วยเหลือยูเครนต่อไป แลกเปลี่ยนกับการให้บริษัทเอกชนของสหรัฐฯไปสำรวจและพัฒนาและผลิตแร่ธาตุที่มีค่าหรือแร่ธาตุหายากที่มีมูลค่ามหาศาล และแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ทางอเมริกาต้องการให้การคุ้มครองความปลอดภัยต่อยูเครนนั้น หมายถึงคนงานของบริษัทเอกชนที่ทำงานเรื่องแร่ธาตุเหล่านั้น จะทำให้รัสเซียเกรงใจไม่กล้าโจมตี
ขณะที่ทางยูเครนต้องการให้สหรัฐฯสัญญาการคุ้มครองทางทหารหรือความปลอดภัยอย่างเป็นรูปธรรม แต่ในที่สุดร่างชุดสุดท้ายก่อนมาพบกันที่ทำเนียบขาว เป็นสิ่งที่คล้ายกับมัดมือชก กดดันให้ยูเครนต้องยอมรับ เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น เพราะหากสหรัฐฯถอนความช่วยเหลือก็จะเสียอธิปไตยให้กับรัสเซียค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากในปัจจุบันนาโต้ในยุโรปอาจจะยังไม่พร้อมที่จะต้านทานการรุกรานของรัสเซียได้
ตัวเลขที่ทรัมป์อ้างว่าสหรัฐอเมริกาโง่เขลามากที่ให้ความช่วยเหลือยูเครนมากว่า 350 พันล้านเหรียญนั้น เกินความเป็นจริง เนื่องจากตัวเลขทางการอยู่ที่ไม่เกิน 120 พันล้านเหรียญเท่านั้น
และทรัมป์สับสนเรื่องการให้ความช่วยเหลือต่อยูเครน โดยเปลี่ยนคำจำกัดความของการให้ (grant) ว่าเป็นการให้ยืม (loan)
5.ปฏิกิริยาของพันธมิตรยูเครนในกลุ่มประชาคมยุโรปและกลุ่มนาโต้แสดงถึงเอกภาพ
จะมีการประชุมสุดยอดในวันที่ 1 มีนาคม และคาดว่าจะสนับสนุนให้เซเลนสกีต่อสู้กับรัสเซียต่อไป โดยการทุ่มเทงบประมาณอุตสาหกรรมทางทหารภายในกลุ่มนาโต้ยุโรปและแคนาดา โดยที่ไม่หวังพึ่งพาสหรัฐฯ
6.เป็นที่น่าสังเกตว่า กระแสความนิยมของชาวยูเครนในวันนี้ โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดียโดยหนุ่มสาวชาวยูเครนนั้น ทุ่มเทให้ความสนับสนุนประธานาธิบดีเซเลนสกีอย่างเต็มที่ ซึ่งน่าติดตามว่าความนิยมของเขาจะพุ่งแรงมากเพียงใด จากเหตุการณ์ที่ทำเนียบขาวครั้งนี้
ต้นสัปดาห์นี้คะแนนนิยมของเซเลนสกีอยู่ที่ 65% ขณะที่ทรัมป์อ้างว่าอยู่ที่ 4% เท่านั้น
7.ส่วนสหรัฐฯจะตัดความช่วยเหลือยูเครน และเปลี่ยนไปสนับสนุนรัสเซียเต็มตัวนั้น ยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะสรุปได้ ณ เวลานี้ เนื่องจากความกดดันของนักการเมืองและประชาชนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วยังให้การสนับสนุนต่อยูเครนมากกว่ารัสเซีย
การ “เปลี่ยนรัสเซียจากศัตรูให้เป็นมิตร” อาจเป็นเพียงความฝัน เพราะเสียงส่วนใหญ่ในอเมริกาทั้งประชาชนและนักการเมืองยังมีความระแวงต่อรัสเซีย ขณะเดียวกันมีผลประโยชน์และประวัติศาสตร์ร่วมกับยุโรป อังกฤษ และแคนาดามากกว่า
ชาวอเมริกัน 68% อยากให้สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนยุติ แต่ขณะเดียวกันสนับสนุนยูเครนประมาณ 54%