รัฐบาลและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจัดแถลงข่าวยืนยันความพร้อมในการอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจำปี 2568 ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยเป็นคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
การเดินทางไปประกอบศาสนกิจของพี่น้องมุสลิม เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะเคารพในความแตกต่างหลากหลาย และเสรีภาพของการนับถือศาสนาตามความเชื่อของแต่ละบุคคล ซึ่งยืนยันถึงความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมของประเทศไทย
แต่ละปีมีพี่น้องชาวไทยมุสลิมเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์จำนวนไม่น้อย สำหรับปีนี้ สำนักเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย ได้เปิดลงทะเบียนรับแสดงความประสงค์ผู้ที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ประจำปี พ.ศ.2568 หรือ ฮิจเราะห์ศักราช 1446 (ฮ.ศ.1446)
ต่อมามีการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ประจำปี พ.ศ.2568 (ฮ.ศ.1446) จำนวนทั้งหมด 6,603 คน
ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น. วันจันทร์ที่ 24 ก.พ.68 ที่ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย เป็นประธานแถลงข่าวการเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ประจำปี พ.ศ. 2568 (ฮ.ศ.1446)
โดยมี น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวินัย โตเจริญ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายประสาน ศรีเจริญ ผู้แทนจุฬาราชมนตรี ร่วมแถลงข่าว
นอกจากนั้นยังมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการฮัจย์ ร่วมให้ข้อมูลและเป็นสักขีพยานความพร้อมด้วย ได้แก่ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. รวมถึงผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน ผู้อำนวยการสำนักกิจการความมั่นคงภายใน กรมการปกครอง ตลอดจนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สื่อมวลชน และผู้ที่เกี่ยวข้องคับคั่ง
นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญในการดูแลพี่น้องคนไทยทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา เพราะทุกคนคือคนไทยที่เราต้องบันดาลให้เกิดสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดอย่างเท่าเทียมกัน โดยทันทีที่ น.ส.ซาบีดา ได้นำเสนอแนวทางการส่งเสริมชาวไทยมุสลิมไปประกอบพิธีฮัจย์ ตนได้เห็นชอบและอนุมัติหลักการ พร้อมเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในการประชุมเมื่อวันที่ 18 ก.พ.68 ทันที
พร้อมกับเน้นย้ำว่าขออำนวยความสะดวกให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมอย่างดีที่สุด เพื่อให้การเดินทางสะดวกขึ้น ทั้งการเพิ่มเที่ยวบินที่ท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ และมีแผนจะเพิ่มเที่ยวบินที่ท่าอากาศยานนราธิวาสด้วย
"จากมาตรการต่างๆ ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และคณะรัฐมนตรีให้การอนุมัติ ได้ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปแสวงบุญฮัจย์ของพี่น้องไทยมุสลิมลดลง จะเหลือเพียงประมาณ 1.8 แสนบาทต่อคนเท่านั้น ในขณะที่ระดับคุณภาพไม่ได้ลดลงกว่าเดิม เป็นคุณูปการกับพี่น้องชาวไทยมุสลิมเป็นอันมาก เพราะที่ผ่านมาพี่น้องบางท่าน ต้องเสียเงินถึง 3 แสนบาท บางท่านถูกต้ม ถูกฉ้อโกง ต่อไปนี้ทุกท่านที่ไปแสวงบุญ จะได้ไปโดยไม่ต้องมีความกังวล และต้องไม่มีการทุจริตเป็นอันขาด" นายอนุทิน กล่าวย้ำ
ด้าน น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นมุสลิม กล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2568 นี้ ประเทศไทยมีผู้แสวงบุญจำนวน 6,603 คน โดยจะได้รับการอำนวยความสะดวกจากกระทรวงมหาดไทย ภายใต้แนวคิด "Hajj 5G 5Good"
ได้แก่ Good Price (ราคาดี), Good Service (บริการดี), Good Care (เอาใจใส่ดี), Good Health (สุขภาพดี) และ Good Relations (ความสัมพันธ์ดี) ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายพื้นฐานต่อคนลดลงจากเดิม 250,000 บาท เหลือ 173,000-187,000 บาท เป็นผลจากการเจรจาลดค่าบริการพื้นฐาน ค่าตั๋วเครื่องบิน และการอนุญาตให้ใช้เที่ยวบินพาณิชย์เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี
อีกทั้งกระทรวงมหาดไทยยังมีมาตรการสำคัญ โดยจะควบคุมค่าใช้จ่ายฮัจย์ไม่ให้เกิน 195,000 บาทต่อคน ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป พร้อมเปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เดินทาง ณ ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศด้วย
อนึ่ง สำหรับการประกอบพิธีฮัจย์ หรือ “การทำฮัจย์” คือการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในเดือนซุลฮิจญะฮ์ ตามวันเวลา และสถานที่ต่างๆ ที่ศาสนาอิสลามกำหนดไว้ โดยการทำฮัจย์เป็นศาสนกิจ 1 ใน 5 ประการที่เป็นหน้าที่สำหรับมุสลิมทั้งชายและหญิงทุกคนที่มีความสามารถในด้านร่างกาย ทรัพย์สิน และการเดินทาง จะต้องปฏิบัติ