“ฝากขอบคุณทุกคน ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือคิดว่าลูกๆ บางคนอาจต้องหยุดเรียนในเทอมนี้ แต่ตอนนี้ได้รับความช่วยเหลือแล้ว ไม่เอาอะไรแล้ว แค่นี้ถือว่ามากแล้ว”
-----------------------------------
เป็นคำกล่าวทั้งน้ำตาของ มารีนี พรมช่วย แม่เลี้ยงเดี่ยวลูก 6 หลังได้รับมอบอุปกรณ์จำหน่ายส้มตำ ทั้งตู้ใส่มะละกอ กระปุกใส่เครื่องปรุง และชุดโต๊ะเก้าอี้จาก “กลุ่มร่วมด้วยช่วยกันชายแดนใต้” ที่ได้รับบริจาคมาจากผู้ใจบุญที่ทราบเรื่องราวความทุกข์ยากของครอบครัวนี้
เธอกล่าวขอบคุณทั้งน้ำตา แต่เป็นน้ำตาแห่งความดีใจและความหวังที่จะสร้างชีวิตใหม่ และต่อสู้กับความลำบากต่อไป โดยไม่พ่ายแพ้ต่อโควิด
มารีนี อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ภายในซอยรามโกมุท ต.อาเนาะรู อ.เมืองปัตตานี โดยอยู่กับลูกๆ ถึง 6 คน โดยที่เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องหาเลี้ยงเพียงคนเดียวดูแลถึง 7 ชีวิต
แต่นั่นยังไม่พอ เพราะเธอได้ไปรับ ลุงสะแปอิง อุเซ็ง วัย 69 ปีที่เป็นญาติกันมาอุปการะ หลังจากทราบว่า ลุงสะแปอิงตาบอด และมีการหูไม่ได้ยิน แต่ต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีบ้าน ไร้ญาติขาดมิตร
เธออดรนทนไม่ไหวที่เห็นลุงต้องลำบาก จึงกัดฟันไปรับลุงมาอยู่ด้วย แต่เนื่องจากบ้านช่องคับแคบ จนต้องตัดสินใจเช่าบ้านอีกหลังให้ลุงสะแปอิงได้อาศัยกินอยู่หลับนอน แต่นั่นก็เป็นการเพิ่มภาระให้กับมารีนีที่ลำบากอยู่แล้ว ให้หนักหนาสาหัสมากขึ้นไปอีก
มารีนี ไม่ได้ทำงานประจำ แต่ประกอบอาชีพขายไก่ย่างหน้าบ้าน โดยลูกค้าเป็นคนในซอยที่ผ่านไปมา มีรายได้วันละ 200 บาท แต่ต้องเลี้ยงถึง 8 ชีวิต เมื่อมีสถานการณ์โควิด ทำให้เธอยิ่งลำบาก ผู้คนไม่กล้าออกจากบ้าน ทำให้ไก่ย่างก็ขายได้น้อยลงไปด้วย
เคราะห์ดีที่ปัตตานีมีสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ไม่สาหัสมากนัก ทำให้ทางราชการผ่อนคลายให้ร้านรวงต่างๆ ขายของได้ โดยเฉพาะอาหารการกิน แต่มารีนีมีแค่เตาปิ้งไก่ จึงไม่สามารถเพิ่มยอดขายเพื่อหารายได้ให้ครอบคลุมกับค่าใช้จ่าย เธอจึงฝันจะมีร้านส้มตำเล็กๆ เพื่อขยายกิจการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
ยิ่งกว่าฝันเป็นจริง เพราะความลำบากของเธอ บวกกับความเป็นคนดีมีความกตัญญูล่วงรู้ถึงหูนักข่าว จึงมีการรายงานเรื่องราวของเธอผ่านสื่อหลายแขนง ทำให้มีผู้ใหญ่ใจดีจากกรุงเทพฯช่วยบริจาคเงิน ทำให้ฝันเล็กๆ ของเธอเป็นความจริง
ทุนทรัพย์เพียงไม่กี่พันบาทอาจเป็นเงินเพียงเล็กน้อยของคนที่มีกินมีใช้ แต่สำหรับเธอและลูกๆ แล้ว นี่คือเงินก้อนใหญ่ที่สามารถพลิกชีวิตเธอได้เลยทีเดียว
“หลังจากนี้ทุกคนที่ฉันดูแลจะอยู่ดีขึ้นกว่าเดิมแน่ จะขายไก่ย่างส้มตำทั้งวันเลย มั่นใจว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ดูแลทุกคนในบ้านได้ดีกว่าเดิม” มารีนีเผยถึงความตั้งใจ
เธอบอกด้วยว่า ไม่ได้มีแค่ตัวเธอเท่านั้นที่ดีใจจนน้ำตาไหล แต่ชาวบ้านแถวนี้ก็ดีใจมาก ทุกคนบอกว่าจะช่วยซื้อส้มตำ ไก่ย่าง รับประทานกันทุกวัน
“ดีใจมาก ตื้นตันใจจริงๆ ไม่คิดว่าจะได้รับการช่วยเหลือเลย ดีใจที่ทุกคนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วย ถ้าขายส้มตำจะทำให้มีรายได้มากขึ้น ทั้งค่าเช่าบ้านให้ลุงที่ตาบอดก็ไม่กังวลอีกแล้วหลังจากนี้”
มารีนี บอกว่าจะเริ่มเปิดร้านตั้งแต่วันพุธที่ 2 มิถุนายน เพราะวันที่ 1 ต้องพาลุงไปหาหมอ และดำเนินการเรื่องใบรับรองแพทย์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการขึ้นทะเบียนและทำบัตรคนพิการ รับเงินช่วยเหลือรายเดือนจากรัฐ ประท้งความเดือดร้อนให้ได้อีกเปลาะหนึ่ง
เธอหวังว่า โควิด-19 จะหมดไปจากประเทศโดยเร็ว เพื่อให้ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเดิม และเธอก็จะได้ขายของได้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย
“ไม่คิดเลยว่าโควิดจะทำให้ทุกคนลำบากขนาดนี้ และก็ไม่คิดจริงๆ ว่าจะมีคนเห็นความสำคัญในปัญหาที่เราเจอ ขอบคุณที่เห็นความสำคัญ ไม่ทอดทิ้งพวกเรา” มารีนีบอกด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น
ขณะที่ มูซอ อีซอ ชาวบ้านในซอยรามโกมุท บอกว่า รู้สึกดีใจมากที่มีคนมาช่วยครอบครัวนี้ มารีนีเป็นคนดี ขยัน และมีภาระต้องรับผิดชอบมาก คนแถวนี้ก็พยายามช่วย แต่ก็ช่วยเท่าที่ทำได้ เพราะทุกคนก็ไม่มีเหมือนกัน
แม้โควิดจะเป็นไวรัสร้ายที่ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่บทเรียนจากโควิดก็ทำให้ทุกคนได้เห็นว่า ยังมีโอกาสในวิกฤติ และมีสิ่งดีๆ ในชีวิตเกิดขึ้นเสมอ แม้ในยามที่ทุกข์ที่สุดก็ตาม...