ท่ามกลางกระแสขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เริ่มขยายวงกว้างจากการออกมาขยับเองของบรรดาผู้ขับเคลื่อนงานมวลชน "รุ่นเก๋า"
ทั้งกลุ่ม OCTDEM หรือ "คนตุลาฯปีกประชาธิปไตย" ที่ออกมายืดเส้นยืดสายเรียกร้องให้ปล่อยแกนนำม็อบ 112 และคาดว่าจะวางบทบาทเป็นมันสมองเดินหมากบนกระดาน "ล้มประยุทธ์"
"ตู่" จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ที่ออกมารวบรวมสรรพกำลังในนาม "ขบวนการสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย" ชี้เปรี้ยงว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือศูนย์รวมปัญหา ต้องดึงออกจากสมการการเมือง
"เต้น" ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงที่ประกาศยืนข้างนักเรียน นิสิต นักศึกษา และไม่ปิดโอกาสหากในอนาคตต้องพามวลชนลงถนนอีกครั้ง
สอดรับกับฟากฝั่งพรรคการเมืองที่ขยับกันพรึ่บพรั่บ เปิดพรรคใหม่อย่างมีนัยสำคัญ "แตกแบงก์พัน" ในฟากเครือข่าย "คนแดนไกล" ทั้งปรับโครงสร้างพรรคเพื่อไทย และแตกตัวตั้งพรรคใหม่ ได้แก่ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเป็นธรรม และพรรคเส้นทางใหม่
ขณะที่ฝั่งรัฐบาลภายใต้การนำของ "3 ป." เอง ก็มีข่าวตั้งพรรคสำรองอย่าง "รวมไทยสร้างชาติ" เช่นเดียวกับกลุ่มก๊วนต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐ ก็มีการแอบตั้งพรรค หรือเตรียมเทคโอเวอร์พรรคการเมืองเตรียมไว้ทุกกลุ่ม
ที่ต้องโฟกัสนับจากนี้ก็คือ พรรคการเมืองที่เลือกฝั่งไปแล้ว ดังเช่น พรรคประชาชาติ จะขยับอย่างไร
ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวของ "พรรคประชาชาติ" ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา บ้านใหญ่แห่งยะลา และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นหัวหน้าพรรค โดยเมื่อวันเสาร์ที่ 3 เม.ย.64 ได้มีกิจกรรมประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรค ครั้งที่ 1/2564 และกิจกรรมสัมมนาตาม มาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ที่โรงแรมอิมพีเรียล อ.เมืองนราธิวาส
พรรคประชาชาติตกเป็นข่าวถูก "ดูด" จากฝั่งที่ครองอำนาจรัฐหลายครั้ง และยังมี ส.ส.เขตบางคนของพรรคปันใจไปเข้ากับรัฐบาลด้วย
จุดยืนของพรรคในช่วงการเมืองกำลังเข้าไต้เข้าไฟแบบนี้ จึงนับว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะบทบาทของแกนนำสำคัญอย่าง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรค ที่ส่งตัวตำแหน่ง ส.ส.ให้กับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค
"การลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 11 ก.ย.63 ผมได้ทำหน้าที่ครั้งสุดท้าย คือ อภิปรายเพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ วันที่ 12 ก.ย. พ.ต.อ.ทวี ได้รับลูกและทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทดแทนอย่างมีเกียรติ และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในบรรดาพรรคฝ่ายค้านและพี่น้องประชาชนโดยรวม"
นี่คือคำประกาศส่วนหนึ่งกลางวงประชุมใหญ่สามัญประจำปีของ นายวันมูหะมัดนอร์ ที่ยังเต็มไปด้วยวาทกรรมขับไล่นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา
ขณะที่การส่งไม้ต่อให้ พ.ต.อ.ทวี ทำหน้าที่ในสภา ก็ยังดำรงความมุ่งหมายเช่นเดิม
"ผมไม่ผิดหวังที่ได้เสียสละตำแหน่งให้กับบุคคลที่เหมาะสมของพวกเราเพื่อทำหน้าที่ต่อ และหลังจากนี้ยังคงจะทำหน้าที่ที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องประกอบด้วย 1.การขับไล่เผด็จการเพื่อมิให้สืบทอดอำนาจ และ 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นของประชาชน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่เป็นประชาธิปไตย และมีที่มาที่ไม่ปกติ"
หัวหน้าพรรคประชาชาติ ยอมรับว่า ภารกิจทั้ง 2 ประการนี้ยังไม่แล้วเสร็จ และจะต้องเดินหน้าต่อไป
"การต่อสู้ยังคงต้องดำเนินการต่อไป และชัยชนะคงอยู่อีกไม่นาน และมั่นใจมากว่าต่อแต่นี้ไปการต่อสู้ของประชาชนจะเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ"
นี่คือสัญญาณจากนายวันมูหะมัดนอร์ ที่สอดรับกับการขยับของเครือข่าย "คนแดนไกล" อย่างแจ่มชัด
"การเป็นรัฐบาลที่ดีและมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อประชาชน รวมถึงอยู่ครบ 4 ปี ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชนได้ แต่ภายใต้รัฐบาลที่ตระบัดสัตย์ ไม่รักษาสัญญา และไม่รักษาคำพูดอย่างรัฐบาลปัจจุบัน ย่อมไม่สามารถที่จะแก้รัฐธรรมนูญได้ ทั้งๆ ที่กำลังจะเข้าวาระที่ 3 ก็ยังถูกตีตก"
กับบทบาทของพรรคประชาชาติ นายวันมูหะมัดนอร์ วางน้ำหนักไปที่งานสภา
"ส.ส.ของพรรคประชาชาติเปรียบเสมือนนกเขาพันธุ์ดี เสียงดี และขยันขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ต.อ.ทวี รวมถึง นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ (ส.ส.นราธิวาส) ได้ร่วมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ความมุ่งมั่นและตั้งใจต้องถูกทำลายลงด้วยเสียงข้างมากในรัฐสภา ความพยายามของฝ่ายประชาธิปไตย หรือพรรคร่วมฝ่ายค้านจึงไม่เป็นผล ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย"
"พรรคประชาชาติเป็นพรรคเล็ก ก่อตั้งไม่ถึง 3 ปี ถ้าเป็นเด็กก็เพิ่งจะหัดเดิน แต่พรรคประชาชาติโชคดีที่มี ส.ส.พันธุ์ดี ฉลาด และทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมทั้งในและนอกสภา อีกทั้ง ส.ส.ทั้ง 6 คนที่เหลืออยู่ก็ทำหน้าที่อย่างเปิดเผย ไม่ต้องหลบหลบๆ ซ่อนๆ"
หัวหน้าพรรคประชาชาติ ยังคาดการณ์ว่า การเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป น่าจะมีทิศทางที่ดี และมั่นใจว่าระบบ "บัตร 2 ใบ" ต้องเกิดขึ้น (ทดแทนระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ใช้บัตรใบเดียวจากการเลือกตั้ง ส.ส.เขต มาคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ)
"มั่นใจว่า ส.ส.แบบแบ่งเขตของพรรคประชาชาติจะเพิ่มขึ้น ประชาชนจะชนะ และเผด็จการจะหมดไป จึงขอให้ประชาชนมีกำลังใจในการต่อสู้ และมีตัวอย่างการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้เห็นในประเทศเพื่อนบ้าน แต่พี่น้องประชาชนคนไทยคงไม่ใช้วิธีการเดียวกัน"
"ทุกคนต้องต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเพื่อตนเองและเพื่อลูกหลาน แต่การต่อสู้ต้องเป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะ และชัยชนะนั้นต้องเป็นชัยชนะที่ได้มาด้วยสันติวิธี ไม่ต่อสู้ด้วยความรุนแรง"
คำประกาศของ นายวันมูหะมัดนอร์ ทำให้คาดการณ์ทิศทางการเมืองในอนาคตอันใกล้ได้ไม่ยาก ว่าจะมีการสร้างแรงกดดันขนาดหนักต่อรัฐบาล จากทั้งในและนอกสภา ตลอดจนโลกเสมือนอย่างโซเชียลมีเดีย โดยมีสถานการณ์ในเมียนมาเป็นแรงหนุนเสริม ทั้งๆ ที่เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
"ทุกคนต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตย และตราบใดที่ประชาธิปไตยยังไม่เป็นของประชาชน เราต้องต่อสู้ร่วมกัน เพื่อส่งมอบอนาคตของประเทศที่อยู่ในมือเราสู่ลูกหลาน และต้องเป็นการส่งมอบอนาคตที่ดี เพื่อจะได้ไม่ถูกตราหน้าว่าเอาประเทศที่เสื่อมโทรมส่งต่อ และทำให้ลูกหลานต้องลำบาก"
"ผมมั่นใจว่านับตั้งแต่เดือน เม.ย.เป็นต้นไป การเรียกร้องของประชาชนจะหนาหู และความสำเร็จกำลังจะมาถึงในเร็ววัน" นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ภารกิจการนำพาและวางสถานะของพรรคประชาชาตินั้น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค เคยเปิดเผยเอาไว้กับ "ทีมข่าวอิศรา" ว่าจะพยายามยกระดับพรรคประชาชาติให้ก้าวพ้นจากภาพความเป็นพรรคท้องถิ่น เฉพาะพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งประชาชนบางส่วนมองว่าเป็น "พรรคมุสลิม" ด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่่คำว่า "ประชาชาติ" หมายถึงการรวมกันของประชาชนทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ทุกกลุ่มความเชื่อ และศาสนา ไม่มีการแบ่งแยก
ฉะนั้นพรรคประชาชาติจะมีการกิจกรรมและโครงการร่วมกับพี่น้องประชาชนในภูมิภาคอื่นๆ มาขึ้น โดยเฉพาะประชาชนชายขอบ เพื่อสร้างความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ และนำพาประเทศไปสู่สังคมที่ดีกว่าเดิม