ท่ามกลางสถานกาณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เพราะมีการลอบวางระเบิด 2 วันซ้อนใน 2 อำเภอของปัตตานี อีกด้านหนึ่งก็มีปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ไล่ติดตามจับกุมบุคคลต้องสงสัยและทลายแหล่งกบดานของกลุ่มก่อความไม่สงบ
พ.อ.วัชรกร อ้นเงิน รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) แถลงเมื่อวันพุธที่ 15 ก.ค.63 ว่า เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนที่ 44 ได้ติดตามบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ อ.ธารโต จ.ยะลา พบแหล่งหลบซ่อนตัวของผู้ก่อเหตุรุนแรง จึงได้ตรวจยึดของกลางเป็นอาวุธปืนและอุปกรณ์ดำรงชีพได้หลายรายการ
ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากในห้วงที่ผ่านมาได้ปรากฏภาพข่าวความเคลื่อนไหวสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ ต.บ้านแหร อ.ธารโต วางแผนเตรียมก่อเหตุกับเจ้าหน้าที่รัฐ ครู บุคลากรทางการศึกษา และเป้าหมายอ่อนแอในพื้นที่ ทำให้หน่วยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนที่ 44 จัดกำลัง 1 ชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ จำนวน 9 นาย ออกลาดตระเวนพิสูจน์ทราบบริเวณขนำร้างท้ายหมู่บ้าน ในพื้นที่หมู่ที่ 1 ต.บ้านแหร
แต่ขณะที่กำลังพลเข้าตรวจสอบพบบุคคลต้องสงสัยจำนวน 3 คนกระโดดออกจากขนำ พร้อมทิ้งสัมภาระไว้จำนวนหนึ่ง โดยอาศัยความมืดและความชำนาญเส้นทางหลบหนีไปได้
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ และเก็บรวบรวมวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ พร้อมตรวจยึดของกลางได้หลายรายการ ประกอบด้วย อาวุธปืนพกสั้น ขนาด .38 พร้อมเครื่องกระสุน จำนวน 1 กระบอก, อาวุธปืนพกสั้น ขนาด .22 พร้อมเครื่องกระสุน จำนวน 1 กระบอก, โทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง, เปล จำนวน 2 หลัง, , ยาและเวชภัณฑ์ รองเท้า 3 คู่, เสื้อกางเกง, เสบียงอาหาร และอุปกรณ์ดำรงชีพอื่นๆ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่ ต.บ้านแหร อีก 2 จุด เป็นบ้าน 2 หลัง หลังแรกเป็นของบุคคลเป้าหมายที่มีความเชื่อมโยงกับโทรศัพท์มือถือที่ตรวจยึดได้ แต่ไม่พบตัวเจ้าของบ้าน ส่วนจุดที่ 2 พบชายอายุ 30 ปี ทำงานอยู่ในองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บ้านแหร อยู่ในตำแหน่งที่มีความสำคัญใน อบต. ไม่ใช่งานธุรการ โดยชายคนนี้เป็นลูกชายของเจ้าของบ้านหลังแรก เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวไปเข้ากระบวนการซักถาม ก่อนจะปล่อยตัวกลับบ้าน โดยไม่มีการควบคุมตัว แต่ญาติของชายคนนี้ก็ไม่ค่อยพอใจนัก เพราะมองว่าเจ้าหน้าที่จับกุมโดยที่ไม่มีความผิดและไม่ได้ตั้งข้อหา ซ้ำยังเก็บสารพันธุกรรม "ดีเอ็นเอ" เอาไว้ด้วย
พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ หรือ "บิ๊กเดฟ" แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า กลุ่มคนร้ายยังคงมีความพยายามที่จะก่อเหตุสร้างสถานการณ์ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนให้กับพี่นองประชาชน ในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังมุ่งเน้นการแก้ปัญหาโควิด-19 อยู่ในขณะนี้ จึงสมควรร่วมกันประณามพฤติกรรมชั่วอย่างกว้างขวาง
สืบจากซิม (โทรศัพท์) จากแนวร่วมเหตุปะทะปะนาเระ
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่มีการคุมตัวบุคคลต้องสงสัยเข้ากระบวนการซักถามเช่นกัน ก็คือเหตุยิงปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มติดอาวุธที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านราวอ หมู่ 1 ต.ดอน อ.ปะนาเระ เมื่อวันที่ 3 ก.ค.63 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย รือ นายอันวาร์ ดือราแม เป็นแนวร่วมระดับปฏิบัติการของกลุ่มก่อความไม่สงบ ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็มีความสูญเสียเช่นกัน เป็นอาสาสมัครทหารพราน (อ่านประกอบ : เอาผิดเจ้าของบ้านเกิดเหตุปะทะ เอาชนะเครือข่ายป่วนใต้หรือเสี่ยงเสียมวลชน? และ เมื่อเครือข่ายค้ายาโยงความไม่สงบ สมคบการเมืองท้องถิ่น!)
ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (ราววันที่ 13-14 ก.ค.) เจ้าหน้าที่ 3 ฝ่ายได้สนธิกำลังเข้าพิสูจน์ทราบบ้านเลขที่ 53 หมู่ 2 ต.บาโลย อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี และได้เชิญตัวหญิงวัย 23 ปี ซึ่งเป็นครูตาดีกาไปซักถามที่ สภ.ยะหริ่ง เนื่องจากโทรศัพท์มือถือที่พบในเหตุปะทะ ซึ่งเป็นของ นายอันวาร์ ดือราแม ผู้ตาย ใช้ซิมโทรศัพท์ที่มีครูตาดีกาหญิงคนนี้เป็นผู้จดทะเบียนซิม
ผลการซักถามทราบว่า ครูตาดีกาหญิงเปิดเบอร์มือถือให้กับเพื่อนสนิทเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว เพราะเพื่อนขอให้ช่วย ซึ่งมารดาของเพื่อนคนนี้เป็นพี่สาวของนายอันวาร์อีกที เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เห็นว่าครูตาดีกาหญิงไม่ได้เกี่ยวโยงกับกลุ่มก่อความไม่สงบ แต่ถูกนำซิมโทรศัพท์ที่ตนจดทะเบียนซิมไปใช้งาน จึงปล่อยตัวกลับภูมิลำเนา
สำหร้บการเข้าควบคุมตัวครูตาดีกาหญิงรายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย เพราะครั้งแรกเจ้าหน้าที่เข้าไปหาตัวถึงในโรงเรียนตาดีกา ขณะกำลังสอนเด็กๆ โดยใช้กำลังหลายสิบนาย เมื่อซักถามเสร็จก็ปล่อยกลับบ้าน และตามไปคุมตัวที่บ้านอีกรอบหนึ่ง คราวนี้ทั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนันตามไปสังเกตการณ์ด้วย ก่อนได้รับการปล่อยตัวในที่สุด
พล.ต.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า การขยายผลซักถามบุคคลที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงทั้ง 2 เหตุการณ์ เป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการลงทะเบียนซิมโทรศัพท์มือถือ ทำให้เจ้าหน้าที่ตามรอยได้ถูก และจะเห็นได้ว่าถ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ก็จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ขณะเดียวกันก็อยากประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้ตระหนักว่า ผู้ก่อความไม่สงบได้พยายามใช้ซิมโทรศัพท์ของบุคคลอื่นในการก่อเหตุ หรือติดต่อประสานงานกับเครือข่ายตลอดเวลา เพื่อเบี่ยงเบนเป้าหมายไปจากตัว โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายของบุคคลอื่น แม้จะเป็นคนรู้จักกันก็ตาม จึงขอให้ประชาชนร่วมมือกับฝ่ายรัฐเพื่อเพิ่มมาตรการป้องกันการก่อเหตุรุนแรงรูปแบบต่างๆ ต่อไป
---------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ
1 ขนำร้างท้ายหมู่บ้านใน ต.บ้านแหร อ.ธารโต
2 อาวุธปืน เครื่องกระสุน และอุปกรณ์ดำรงชีพที่พบในขนำ
3 เชิญตัวครูตาดีกาหญิงใน อ.ยะหริ่ง ไปซักถาม
ขอบคุณ : ภาพทั้งหมดจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง