เหตุยิงปะทะเมื่อวันศุกร์ที่ 3 ก.ค.63 ที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านราวอ หมู่ 1 ต.ดอน อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ไม่ได้จบลงที่การเสียชีวิตของ นายอันวาร์ ดือราแม อายุ 40 ปี ซึ่งมีชื่ออยู่ในบัญชีผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการเท่านั้น
แต่เจ้าของบ้านที่นายอันวาร์ไปพักอยู่ด้วย ต้องถูกดำเนินคดีและขึ้นศาล แม้ศาลจะปราณีรอการลงโทษจำคุก โดยลงโทษเพียงแค่ปรับ แต่ในมุมของเจ้าของบ้านรู้สึกว่าตนเองต้องได้รับความลำบากในความผิดที่ตนเองไม่ได้ก่อขึ้นโดยตรง
เหตุการณ์ยิงปะทะเกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 3 ก.ค. เจ้าหน้าที่ได้เบาะแสว่าบ้านหลังที่เข้าตรวจค้นเป็นแหล่งกบดานกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด เมื่อเข้าไปก็ถูกคนร้ายภายในบ้านยิงใส่ จนเกิดการยิงปะทะกัน ฝ่ายเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 นาย เป็น อส. และบาดเจ็บอีก 2 นายเป็นทหารพราน ส่วนคนที่ยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่จนเสียชีวิต คือ นายอันวาร์ ดือราแม เป็นแนวร่วมก่อความไม่สงบ และมีหมายจับในคดีความมั่นคง (อ่านประกอบ : เมื่อเครือข่ายค้ายาโยงความไม่สงบ สมคบการเมืองท้องถิ่น!)
นายอันวาร์ มีภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.ปากู อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี แต่มาพำนักอยู่ที่บ้านในหมู่บ้านราวอนานถึง 2 สัปดาห์ ทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมองว่าเจ้าของบ้านน่าจะรู้เห็นเป็นใจ
แม่เลี้ยงเดี่ยวลูก 4 เฉียดคุก โดยปรับหลักหมื่น
เจ้าของบ้านหลังนี้เป็นหญิงวัย 41 ปี ชื่อ น.ส.อาราม๊ะ วานิ เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องเลี้ยงลูกถึง 4 คนเพียงลำพังเพราะสามีเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจไปเมื่อหลายปีก่อน เธอมีอาชีพรับจ้างเก็บค่าไฟ ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวหลังเกิดเหตุยิงปะทะ 1 วัน โดยคุมตัวไปพร้อมกับน้องเขย ชื่อ นายยะห์รี หวันสนิ อายุ 34 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ ต.ปากบาง อ.เทพา จ.สงขลา แต่ย้ายมาอยู่กับภรรยาที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ใกล้ๆ กับบ้านของ น.ส.อาราม๊ะ
ทั้งสองคนถูกคุมตัวเข้าค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี และถูกดำเนินคดีฐานให้ที่พักพิงคนร้ายหรือผู้ต้องหาที่มีหมายจับในคดีอาญา เธอถูกนำตัวขึ้นศาลและถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 3 เดือน ปรับเป็นเงิน 10,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษเอาไว้ก่อน (รอลงอาญา)
"กลับมาจากศาลเมื่อวันที่ 9 ก.ค.ตอนเย็น โดนปรับเงิน 10,000 บาท เพราะเราเป็นเจ้าของบ้านที่คนร้ายมาอยู่ เขาบอกว่าเราเกี่ยวข้องกับขบวนการ กับยาเสพติด ทั้งที่จริงๆ ไม่เกี่ยวเลย ยาเสพติดไม่มีเลย เราไม่เกี่ยวอะไรด้วยกับคนที่มาอยู่ที่บ้าน" อาราม๊ะ เล่าย้อนถึงวันที่ต้องขึ้นศาล
ไม่ยุ่งขบวนการ - เครียดมากมีคนมาขออาศัย
เธอยังเล่าถึง นายอันวาร์ ดือราแม ที่เสียชีวิตจากเหตุยิงปะทะว่า นายอันวาร์มาอยู่ที่บ้านนาน 2 สัปดาห์ โดยมีคนอื่นพามา ให้มาอยู่กับน้องชาย
"ตอนที่เขามาก็เครียดมาก ถามน้องตลอดว่าเมื่อไหร่จะไป น้องก็บอกว่าอีก 2-3 วัน จนกระทั่งเจ้าหน้าที่มา แล้วมาบอกมียาเสพติดด้วย ก็เลยงงๆ ไม่รู้เลยว่ายา 200 เม็ดมาจากไหน"
"อยากบอกว่า เราคนลำบากอยู่แล้ว ไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนั้นหรอก วันๆ เอาแต่ย่างไก่ ได้วันละร้อยพอให้ลูกไปเรียน และได้จากเก็บค่าไฟฟ้าบ้านละ 10 บาท รวมๆ 200-300 บาทต่อเดือน เงิน 10,000 บาทที่จ่ายค่าปรับ ก็เป็นเงินที่เก็บสะสมมานานแล้ว จนตอนนี้ไม่มีเงินเหลือเลย" อาราม๊ะกล่าว
เธอยอมรับว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่อาจทำให้เจ้าหน้าที่สงสัยในตัวเธอ คือวันที่เจ้าหน้าที่ขอเข้าตรวจค้น เธอไม่ได้บอกข้อมูลเกี่ยวกับคนร้าย เพราะลืมนึกถึงคนที่มาขออยู่ด้วย
"วันเกิดเหตุฉันก็อยู่ในบ้าน อยู่กับลูกๆ ทั้ง 4 คน เจ้าหน้าที่ก็มา ถามถึงสุไลมานซึ่งเป็นลูกชายของพี่สาว ถามว่าอยู่ที่นี่ไหม ก็บอกว่าไม่มี ไม่อยู่ แล้วเขาก็ขอเข้าไปค้นด้านไหน ฉันยังบอกว่าได้ แต่ไม่ทันบอกว่ามีคนอยู่หลังบ้าน ไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนเยอะมาก เจ้าหน้าที่ก็มาเยอะมาก เจ้าหน้าที่บอกว่าข้างในมี 2 คน แต่จริงๆ มีแค่นายอันวาร์คนเดียว" อาราม๊ะเล่าเหตุการณ์ในวันที่เกิดเรื่อง
ยังกลัวไม่หาย ลูกๆ ไม่กล้ากลับบ้าน
เธอบอกด้วยว่ายังรู้สึกกลัวไม่หาย และลูกๆ ก็บอกว่าไม่อยากกลับบ้าน ต้องไปอาศัยที่บ้านญาติ
"ตอนนี้อยู่ที่บ้านพี่ ไม่กล้ากลับบ้าน ยังผวาอยู่ เด็กๆ ก็บอกว่ากลัว ยังไม่อยากกลับ ไม่ได้กินข้าวมา 6 วันแล้วเพราะกินไม่ลง เอาข้าวมาใส่จาน พอเห็นข้าวแล้วเฉยๆ กินไม่ลง มันเครียด กลัว ตกใจ ลูกๆ ก็ร้องไห้กลัว เราเองไม่มีเงินด้วย เงินหมด เลยเครียดไปหมด" อาราม๊ะเผยความรู้สึก
หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จากกองร้อยทหารพรานที่ 4210 ได้เข้าไปซ่อมบ้านของอาราม๊ะที่ได้รับความเสียหายจากกระสุนปืน แต่เธอในฐานะเจ้าของบ้านอยากให้ทางราชการช่วยมากกว่านั้น
"เป็นห่วงลูกๆ อยากให้ช่วยเรื่องทุนการศึกษาลูกที่กำลังเรียนอนุบาล 1 อนุบาล 3 ป.4 และ ม.3 ทุกคนมีค่าใช้จ่ายเยอะมาก ลูกคนโตต้องซื้อหนังสือเป็นพันบาท อยากขอให้รัฐช่วยตรงนี้"
ทหารชี้เข้าข่ายสนับสนุนคนร้าย ให้อยู่นาน 2 สัปดาห์
ด้านข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เป็นมุมตรงกันข้ามกับอารีม๊ะแทบจะสิ้นเชิง โดย พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ เสนาธิการกองทัพภาคที่ 4 และโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 กล่าวว่า หลังเกิดเหตุปะทะ มีการเชิญตัวเจ้าของบ้านมาให้ปากคำ ซึ่งดูตามพฏติกรรมน่าจะเข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุนหรือให้ที่พักพิง เพราะคนร้ายมาอยู่นานถึง 2 สัปดาห์ และพยายามปกปิดข้อมูล ตอนที่เจ้าหน้าที่ถาม เจ้าของบ้านก็บอกว่าไม่มีใครอยู่
"เจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาให้ที่พักพิงกับกลุ่มขบวนการ ศาลตัดสินจำคุก 3 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา จากนั้นเจ้าหน้าที่ยังพากลับไปส่งถึงบ้าน" พล.ต.ปราโมทย์ กล่าว และว่ากรณีให้ที่พักพิงกับกลุ่มขบวนการ เจ้าหน้าที่แจ้งความดำเนินคดีไปหลายรายแล้ว เช่น เหตุปะทะที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เหตุปะทะที่ อ.กาบัง กับ อ.ยะหา จ.ยะลา แต่ผลของคดีเป็นอย่างไร ตนไม่ทราบ
ชนะศึกแต่เสียมวลชน?
การดำเนินคดีกับบุคคลผู้ให้ที่พักพิงกับกลุ่มก่อความไม่สงบ กำลังเป็นนโยบายที่เคร่งครัดของฝ่ายความมั่นคงอย่าง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เพื่อกดดันให้ชาวบ้านทั่วไปไม่กล้าให้ที่พักพิงกับกลุ่มคนร้าย ไม่ว่าจะมีทัศนคติสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดนหรือไม่ก็ตาม
แต่การดำเนินคดีอย่างไม่ละเว้นเช่นนี้ก็ถูกตั้งคำถามกับหลายฝ่ายเหมือนกันว่า เป็นมาตรการที่โยนความรับผิดชอบให้ประชาชนมากเกินไปหรือไม่ เพราะหลายบ้านหลายครอบครัวก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เนื่องจากฝ่ายที่มาขออาศัยก็มีอาวุธ หากขัดขืนอาจถูกทำร้ายได้ หากไม่โดนตอบโต้ทันที ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกย้อนกลับมาคิดบัญชีในภายหลัง คำถามคือหน่วยงานรัฐดูแลความปลอดภัยให้ชาวบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมงจริงหรือไม่
ส่วนบ้านที่ไปขออาศัย โดยมากก็เป็นบ้านของคนแก่ ผู้หญิง หรือแม่เลี้ยงเดี่ยว เมื่อคนเหล่านี้ถูกจับทำให้ชาวบ้านที่ทราบเหตุการณ์รู้สึกสงสาร และมองเจ้าหน้าที่รัฐในแง่ลบ จนมีการตั้งข้อสังเกตว่าฝ่ายขบวนการจงใจให้เป็นแบบนั้้นหรือไม่
จากการสอบถามชาวบ้านหลายๆ คน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ฝ่ายขบวนการก่อความไม่สงบจงใจเลือกบ้านของคนจนๆ บ้านของคนแก่ หรือบ้านที่มีแต่คนชราอาศัยอยู่เพียงลำพัง หรือไม่ก็บ้านของผู้หญิงที่ดูซื่อๆ เป็นสถานที่กบดาน ซ่อนตัว หลบภัย หรือวางแผนเตรียมก่อเหตุร้าย อย่างกรณีของ อาราม๊ะ ที่ อ.ปะนาเระ ก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มีลูกถึง 4 คน และฐานะก็ยากจน
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 30 เม.ย.63 เจ้าหน้าที่เปิดฉากยิงปะทะกับคนร้ายที่บ้านในท้องที่หมู่ 6 บ้านปะกาลือสง ต.ตุยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ทำให้ผู้ก่อความไม่สงบเสียชีวิตถึง 3 ราย โดยทั้งหมดกบดานอยู่ที่บ้านของ ของ นายหะมะ มะมา อายุ 81 ปี ซึ่งเจ้าตัวพักอยู่เพียงลำพัง (อ่านประกอบ : 3 ศพปัตตานีโยงบึ้มบิ๊กซี ปล้นร้านทอง - BRN สบช่องโจมตีรัฐ)
ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 21 พ.ย.62 มีเหตยิงปะทะที่หมู่ 1 ต.คอลอตันหยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ทำให้ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงเสียชีวิต 2 ราย หนึ่งในนั้นคือนายซอบรี หลำโสะ ที่เคยก่อเหตุรุนแรงมามากมาย โดยจุดปะทะก็เป็นบ้านของ นางสะตียาเราะห์ แวซู วัย 62 ปี โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้บ้านพังทั้งหลังจนฝ่ายทหารต้องเข้าไปซ่อมสร้างให้ใหม่ (อ่านประกอบ : เรื่องเล่าจากวันปะทะ...กับบ้านใหม่ของ "สะตียาเราะห์" แห่งคอลอตันหยง)
------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 อาราม๊ะ วานิ
2 ทหารตรึงกำลังในหมู่บ้านหลังเหตุปะทะ
3 ทหารพรานเข้าซ่อมบ้านของอาราม๊ะ