นายอับดุลการีม คาลิด ซึ่งประกาศตัวว่าเป็นโฆษก หรือผู้แทนฝ่ายสื่อสารของกลุ่มบีอาร์เอ็น ได้ออกมาแถลงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาบีอาร์เอ็น ครบรอบ 60 ปี และวันครบรอบ 111 ปี สนธิสัญญา สยาม-อังกฤษ ค.ศ.1990
คำแถลงเป็นคลิปวีดีโอความยาว 4.02 นาที โดยฉากหลังเป็นแผนที่ดินแดนปาตานี ติดกับตอนเหนือของมาเลเซีย มีธงบีอาร์เอ็น ลูกโลก และกองหนังสือวางอยู่บนโต๊ะแถลง เนื้อหาสรุปว่า เดือนนี้เป็นเดือนประวัติศาสตร์สำหรับเราชาวปาตานี ในเดือนมีนาคมนี้มี 2 วันซึ่งเป็นวันประวัติศาสตร์จารึกไว้
วันที่ 13 มีนาคมเป็นวันครบรอบ 60 ปีที่บีอาร์เอ็นก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1960 บีอาร์เอ็นร่วมกับประชาชนในปาตานีขับเคลื่อนต่อสู้เพื่อชะตากรรมของชาติที่รักของเรา และถิ่นมาตุภูมิ
และในเดือนนี้เช่นกันในวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 111 ปีที่แผนที่ของรัฐปาตานีถูกลบออกจากรายชื่อโลกในปี ค.ศ.1909
111 ปีแห่งการต่อสู้ของปาตานีได้ผ่านอุปสรรคมากมาย และเราชาวปาตานีได้พิสูจน์และประจักษ์ชัดเจนต่อวีรบุรุษและผู้เสียสละ ได้บรรลุพันธสัญญาต่อสู้ในดินแดนแห่งนี้ เราจึงเรียกร้องด้วยเลือดเนื้อของชนชาติปาตานีทั้งหลาย ไม่เว้นเชื้อชาติหรือศาสนาใดๆ จงต่อสู้และอย่าหลับใหลกับการรุกรานทางการเมืองของผู้บุกรุก
ไม่มีคำใดๆ ที่เหมาะสมในสถานะนี้ เว้นแต่ "รวมเป็นหนึ่ง" เพราะการรวมเป็นหนึ่งสามัคคีสามารถเอาชนะรากเหง้าของปัญหาได้ ถ้าเราต้องการที่จะพิชิตชัยชนะเราจะต้องแข็งแกร่ง ถ้าเราต้องการที่จะแข็งแกร่งเราต้องรวมกันเป็นหนึ่ง
สำหรับวันที่ 13 มี.ค. เป็นวันสถาปนาของบีอาร์เอ็น ซึ่งเริ่มประกาศตัวก่อตั้งกลุ่มต่อสู้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 ปีนี้จึงเป็นวาระครบ 60 ปี โดย นายอัลดุลการีม คาลิด ปรากฏตัวในฐานะฝ่ายสื่อสารของบีอาร์เอ็น ตั้งแต่ที่กลุ่มบีอาร์เอ็นเป็นผู้นำในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้กับรัฐบาลไทยในยุครัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี พ.ศ.2555 โดยครั้งนั้นมี นายฮัสซัน ตอยิบ แกนนำบีอาร์เอ็น เป็นหัวหน้าคณะ
นายอับดุลการีม เคยปรากฏตัวในคลิปแถลงในนามของฝ่ายสื่อสาร บีอาร์เอ็น หลายครั้ง ในช่วงที่มีการพูดคุย ต่อมาเมื่อโต๊ะพูดคุยล้มไปแล้ว นายอับดุลการีมก็ยังปล่อยคลิปแถลงออกมานานๆ ครั้ง โดยเฉพาะในวาระสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการ รวมถึงครั้งนี้ ซึ่งปัจจุบันมีบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวแทนบีอาร์เอ็นอีกกลุ่มหนึ่ง นำโดย อุสตาซ อานัส อับดุลเราะห์มาน หรือ อุสตาซ หีพนี มะเร๊ะ ร่วมโต๊ะพูดคุยกับรัฐบาลไทยในยุคที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และมี พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากการสื่อสารผ่านนายอับดุลการีม คาลิด แล้ว ระยะหลัง-โดยเฉพาะหลังจากบีอาร์เอ็น นำโดย นายหีพนี มะเร๊ะ เปิดโต๊ะพูดคุยรอบใหม่กับรัฐบาลไทย ปรากฏว่ามีเพจเฟซบุ๊คอ้างชื่อบีอาร์เอ็นหลายเพจเปิดตัวสื่อสารกับสังคม ขณะที่บางเพจมีการจัดทำคลิปวีดีโอคุณภาพดี ในลักษณะวีทีอาร์ นำเสนอความคืบหน้าของกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขด้วย
แต่ด้วยเหตุผลที่บีอาร์เอ็นมีสถานะเป็น "องค์กรลับ" จึงไม่มีใครทราบว่าเพจไหนเป็นเพจของบีอาร์เอ็นตัวจริง รวมถึงบุคคลที่เปิดตัวแถลงในนามของบีอาร์เอ็นด้วย ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าเป็นตัวจริง นอกเหนือจากการอ้างแหล่งข่าวจากฝ่ายต่างๆ เพื่อยืนยันตัวตนเท่านั้น
ส่วนสนธิสัญญาสยาม-อังกฤษ ค.ศ.1990 นั้น รู้จักกันในชื่อของ "สนธิสัญญาแองโกล-สยาม" ลงนามกันเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ.1909 หรือ พ.ศ.2452 เมื่อปีที่แล้วกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐได้เคลื่อนไหวในวาระครบ 110 ปีของสนธิสัญญาฉบับนี้ มีการขึ้นป้ายและพ่นสีตามสถานที่ต่างๆ ว่า PATANI 110
สาระสำคัญของสนธิสัญญาเป็นข้อตกลงปักปันเขตแดนระหว่างอังกฤษกับสยาม (ในยุคล่าอาณานิคม) โดยเป็นการลงนามกันระหว่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสยาม (ในขณะนั้น) กับผู้สำเร็จราชการในมลายูของอังกฤษ เป็นการแบ่งดินแดนมลายูออกเป็น 2 ส่วน แต่กลับเป็นการตกลงกันเพียง 2 ฝ่าย ไม่มีเจ้าผู้ครองนคร หรือรัฐต่างๆ ในดินแดนมลายูร่วมอยู่ด้วยเลย
ผลของสนธิสัญญา ทำให้สิทธิการปกครองและบังคับบัญชาเหนือไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส รวมทั้งเกาะใกล้เคียง ตกเป็นของอังกฤษ ขณะที่อังกฤษรับรองอธิปไตยของสยามเหนือปัตตานี (หรือที่กลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐเรียกว่า "ปาตานี")
แม้สนธิสัญญาฉบับนี้ทำให้สยามต้องสูญเสียดินแดนกว่า 38,000 ตารางกิโลเมตรให้กับอังกฤษ โดยขณะนั้นอยู่ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช หรือ ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 แต่ในมุมมองของฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐ เห็นว่า สนธิสัญญาเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ "ปาตานี" ตกอยู่ใต้อธิปไตยของสยามอย่างสมบูรณ์ จากเดิมที่เคยเป็นราชอาณาจักร หรือรัฐอิสระ ต่อด้วยการอยู่ในฐานะ "ประเทศราช" ของสยาม จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสยาม และสุดท้ายมีสถานะเป็นเพียงจังหวัดของประเทศไทย