สภาผ่านงบกลาโหม หลังฝ่ายค้านรุมถล่มเรือดำน้ำ-ไฟใต้

ไฮไลท์ของการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 อยู่ที่กระทรวงกลาโหมตามที่โหมโรงกันไว้ ฝ่ายค้านรุมชำแหละทั้งงบดับไฟใต้ เรือดำน้ำ แต่สุดท้ายรัฐบาลโหวตผ่านตามคาด

parliament1

งบประมาณของกระทรวงกลาโหมอยู่ในมาตรา 8 ของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายฯ โดย ส.ส.ฝ่ายค้านหลายคนได้ขอสงวนคำแปรญัตติและลุกขึ้นอภิปรายต่อเนื่องกัน

เริ่มจาก นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายในส่วนของงบจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 โดยระบุว่า สถานการณ์ปัจจุบัน การซื้อเรือดำน้ำจะไม่ใช่การซื้อ 2 แถม 1 เหมือนที่เคยเป็นข่าว เพราะที่ผ่านมาได้จัดซื้อไปแล้ว 1 ลำ เป็นการผูกพันงบข้ามปีที่ไม่สามารถไปแตะต้องได้อีกแล้ว แต่ในปี 63 กำลังจะจัดซื้ออีก 2 ลำ ใช้งบประมาณ 22,500 ล้านบาท ดังนั้นหากสภาผ่านให้ ประเทศก็จะต้องเป็นหนี้อีกจำนวนมาก และเป็นงบผูกพันหลายปี

ฉะนั้นสภาผู้แทนราษฎรสามารถหยุดผลพวงจากการรัฐประหารได้ หากคิดอยากจะหยุด จึงอยากให้เพื่อนสมาชิกลดความอคติลง พร้อมยืนยันว่าพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้ตัดงบประมาณโดยไม่มีเหตุผล พร้อมทั้งได้ยกเหตุผลเรื่องความลึกของทะเลอ่าวไทยที่ไม่เหมาะกับการมีเรือดำน้ำ และเรียกร้องให้ประชาชนติดตามการโหวตของ ส.ส.ว่าใครลงมติอย่างไร

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายว่า ตนเสนอขอให้ปรับลดงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมลง 15% เพราะไม่มีความจำเป็น โดยได้ยกตัวอย่างงบในส่วนของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) ที่ได้งบประมาณกว่า 900 ล้านบาท แต่ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นกองทัพสามารถอ้วดอ้างได้ว่ามีอาวุธชิ้นใดที่ผลิตจากประเทศไทย หรือผลิตจากสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ทั้งที่ธุรกิจป้องกันประเทศในต่างประเทศนั้น เป็นธุรกิจที่สร้างเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ดังนั้นหากประเทศไทยสามารถเปิดให้เรื่องของเทคโนโลยีป้องกันประเทศกระทำได้อย่างเสรีและเป็นธรรม เชื่อว่าจะสามารถสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ตนเสนอปรับลดงบประมาณลง 20% เพื่อนำงบไปเติมให้กับกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาเรื่องการศึกษาอย่างมาก ทั้งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ที่รับผิดชอบดูแลการศึกษาภาคบังคับ และสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา เพราะเป็นส่วนสำคัญที่จะผลิตบุคคลเข้าไปในตลาดแรงงานซึ่งจะตอบโจทย์เรื่องการสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติ

นอกจากนั้นการยุบโรงเรียนขนาดเล็กก็เป็นปัญหาที่ใหญ่มาก วันนี้หากเราไม่มีติดอาวุธทางความคิด เราก็จะไม่สามารถผลิตเยาวชนให้มีคุณภาพได้ ประเทศชาติจะอยู่อย่างไร แม้เราจะมีอาวุธยุทธโธปกรณ์ที่ทันสมัย แต่เยาวชนไม่มีคุณภาพ ประเทศชาติจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม นายอัครเดช ยืนยันว่าตนไม่ได้บอกว่าอาวุธยุทธโธปกรณ์ไม่มีมีความสำคัญ แต่เราต้องจัดลำดับความสำคัญให้กับประเทศชาติ

ขณะที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย อภิปรายเสนอให้มีการปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหมลง 10% โดยให้เหตุผลว่า งบประมาณของกระทรวงกลาโหมช่วงเข้าสู่การพิจารณาวาระที่ 1 มีรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดซื้ออาวุธยุทธโธปกรณ์ที่ไม่ชัดเจน ระบุเพียงสั้นๆ ว่าเป็นงบสำหรับจัดซื้ออาวุธยุทธโธปกรณ์มูลค่าเท่านั้น หลายรายการมีวงเงินสูงมาก แต่ไม่มีการชี้แจงรายละเอียด ซึ่งเรื่องนี้คณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญผู้แทนกระทรวงกลาโหมจากทั้ง 3 เหล่าทัพมาชี้แจง แต่ก็ไม่มีการตอบรายละเอียดใดๆ ทำให้เกิดข้อสงสัย

"ผมรู้สึกเสียใจที่คณะกรรมาธิการฯไม่มีการท้วงติงอะไร โดยเฉพาะข้อสังเกตในเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ซึ่งเป็นการใช้จ่ายงบประมาณที่ค่อนข้างสูง ควรจัดซื้อเพื่อความจำเป็นของภารกิจ และต้องสามารถชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนได้ ซึ่งประชาชนทั้งประเทศไม่เห็นด้วยเลย ซื้อไปลำแรกเขาก็ไม่เห็นด้วยแล้ว ก่อหนี้ผูกพันถึงปี 66 แล้ววันนี้กองทัพเรือตั้งมาอีก 22,500 ล้านบาท ผูกพันตั้งแต่ปี 63 ถึงปี 69 ซึ่งไม่ได้ตรงกับความต้องการของพี่น้องประชาชน กรรมาธิการฯตั้งข้อสังเกตแบบนี้แล้วทำไมไม่ตัดงบประมาณไปเลย สิ่งเหล่านี้เราให้กรรมาธิการฯไปทำงานเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ดังนั้นผมจึงมีความจำเป็นต้องตัดงบประมาณกระทรวงกลาโหมลง 10% เพราะยังไม่มีความจำเป็น ในสภาวะที่ประเทศของเรายังต้องการใช้เงินอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยแล้ง เรื่องการศึกษา" ส.ส.เมืองย่าโม พรรคเพื่อไทย กล่าว

นายซูการ์โน มะทา ส.ส.ยะลา พรรคประชาชาติ อภิปรายว่า ตนขอปรับลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมลง 30% เพราะความล้มเหลวในการแก้ปัญหาไฟใต้ โดยตลอด 16 ปีที่ผ่านมาพบการสูญเสียของตำรวจและทหารเป็นจำนวนมาก อีกทั้งตนคิดว่าประเทศอยู่ในภาวะปกติ ไม่ได้อยู่ในภาวะสงคราม ดังนั้นต้องมีการตั้งงบประมาณกองทัพให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่กองทัพรับผิดชอบปัญหาไฟใต้ มีการตั้งงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นตั้งในแบบตั้งโจทย์ผิด เพราะควรนำงบประมาณไปพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น การศึกษา มากกว่าการจัดซื้ออาวุธ ที่สำคัญการจัดซื้อยุทโธปกรณ์หลายรายการที่ผ่านมาก็ไม่เป็นประโยชน์ เช่น เครื่องตรวจหาวัตถุระเบิดจีที 200 เรือเหาะ ถือเป็นการล้มเหลวของการจัดซื้ออาวุธ

ด้าน นายสันติ กีระนันทน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะกรรมาธิการฯเสียงข้างมาก ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาประชาชนอาจจะแคลงใจในการจัดซื้อเรือดำน้ำ แต่โครงการนี้เป็นจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ หรือ "จีทูจี" จึงไม่มีปัญหาเรื่องการทุจริต ส่วนเรื่องความลึกของระดับน้ำของอ่าวไทยกับทะเลอันดามันนั้น ที่ผ่านมามีการซ้อมรบโดยสหรัฐอเมริกาก็ได้นำเรือดำน้ำงมาร่วมซ้อมรบด้วย เรือดำน้ำของสหรัฐมีขนาดใหญ่ ระวางขับน้ำถึง 7,500 ตัน ยังนำมาซ้อมในน่านน้ำไทยได้ ขณะที่เรือดำน้ำที่กองทัพเรือจัดซื้อมา มีระวางขับน้ำเพียง 2,000 ตันเท่านั้น จึงไม่น่ามีปัญหา

นอกจากนั้นกองทัพเรือยังจัดซื้อเพียง 3 ลำ ทั้งๆ ที่ต้องดูแลน่านน้ำ 3.2 แสนตารางกิโลเมตร ถือว่ากองทัพเรือช่วยประหยัด เพราะจริงๆ แล้วต้องมีเรือดำน้ำมากกว่า 3 ลำ หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนามมี 6 ลำ อินโดนีเซีย 5 ลำ สิงค์โปร์ 4 ลำ มาเลเซีย 2 ลำ เมียนมาก็มีแผนจะรับมอบ 2 ลำ และฟิลิปปินส์กำลังจัดหา 3 ลำ ดังนั้นถ้าไทยไม่เตรียมแสนยานุภาพให้ทัดเทียมกับเพื่อนบ้าน ความเกรงอกเกรงใจก็จะลดลง หากความมั่นคงของประเทศไม่มี ความมั่นคงทางเศรษฐกิจก็ไม่เกิด

จากนั้นที่ประชุมได้มีการลงมติ ปรากฏว่า ส.ส.โหวตให้ความเห็นชอบตามร่างของคณะกรรมาธิการฯ 247 ต่อ 195 เสียง งดออกเสียง 11 เสียง

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

อ่านประกอบ :

งบดับไฟใต้ปี60 ลดฮวบเหลือ1.2หมื่นล้าน จัดหมวดหมู่ใหม่หรือจงใจซุก?

งบไฟใต้-ความมั่นคงพุ่งยุค คสช.

3 ปีงบเฉียดแสนล้าน! ไฟใต้ลวกมือ คสช.

เปิดงบปี 61 กลาโหมอู้ฟู่! ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ 1.3 หมื่นล้าน

เปิดงบปี 61 บูรณาการดับไฟใต้ 1.3 หมื่นล้าน! "อักษรา" ปัดคุยพวกใช้ความรุนแรงต่อรอง