
ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 3,976 ตัวอย่าง จากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จ.นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และ 4 อำเภอใน จ.สงขลา คือ อ.จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ต่อนโยบาย “ปฏิบัติการ 120 วัน วาระพืชกระท่อม”
นโยบายนี้ประกาศโดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของ “พืชกระท่อม” ซึ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีปัญหาความมั่นคงแทรกซ้อนขึ้นมาด้วย เนื่องจากมีการนำใบกระท่อมไปต้มเป็น “น้ำกระท่อม” แล้วเติมสารเสพติดเข้าไป เรียกว่า “สี่คูณร้อย” และมีการพัฒนาสูตรให้เข้มข้นยิ่งขึ้น กระทั่งถูกนำไปใช้เสพของบรรดากลุ่มก่อความไม่สงบ เพื่อเรียกความกล้า ก่อนออกปฏิบัติการก่อเหตุรุนแรง หรือก่อกวนรูปแบบต่างๆ
ผลการสำรวจซึ่งสรุป ณ วันที่ 15 ส.ค.68 พบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจต่อนโยบายในระดับ “มากที่สุด” และ “มาก” สูงถึง ร้อยละ 73.3 โดยแยกเป็นรายจังหวัดดังนี้
- นราธิวาส ร้อยละ 34.43
- ปัตตานี ร้อยละ 21.55
- ยะลา ร้อยละ 32.95
- สงขลา 4 อำเภอ ร้อยละ 11.07

นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 75.1 มองว่านโยบายนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนในระดับ “มากที่สุด” และ “มาก” และ ร้อยละ 74.3 ต้องการให้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ผลสำรวจยังสะท้อนการตอบรับเชิงบวกของประชาชนในพื้นที่ต่อทิศทางการแก้ปัญหายาเสพติด ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจที่พบว่า ประชาชนถึงร้อยละ 90.2 รับรู้นโยบายนี้ในระดับ “มาก” และ ร้อยละ 69.9 มองว่า การมีส่วนร่วมของภาครัฐและนอกภาครัฐอยู่ในระดับ “มาก” เช่นกัน
จากผลสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจในระดับสูงของประชาชนส่วนใหญ่ที่ยังคงมีความคาดหวังและต้องการให้มีการขับเคลื่อนนโยบายนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นในอนาคต
@@ โพลสะท้อนพลังสังคมร่วมจัดการปัญหายานรก

นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง (กสม.) ศอ.บต. กล่าวว่า ผลสำรวจที่ออกมาถือเป็นมิติใหม่ที่สำคัญ คือการสร้าง “ความรู้สึกร่วม” ของประชาชน นับเป็นกลไกที่หาได้ยากในสังคมไทย และเชื่อว่าจะเป็นพลังสำคัญในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มชัดเจนขึ้นแล้ว เช่น การค้าขายพืชกระท่อมตามริมถนนเริ่มหายไป
“ภาคประชาสังคมและประชาชนได้ลุกขึ้นมาปฏิเสธยาเสพติดด้วยตนเอง ซึ่งเป็นคุณค่าที่แท้จริงของการขับเคลื่อนงานร่วมกัน คาดว่าในอนาคตบทบาทของภาคประชาชนจะมีมากขึ้นในการคลี่คลายปัญหา” นายธีรวิทย์ ซึ่งได้รับมอบหมายจาก พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. ให้ขับเคลื่อนโครงการนี้ ระบุ
ผู้อำนวยการ กสม. กล่าวอีกว่า แม้จากการสำรวจจะพบว่าสถานการณ์การใช้พืชกระท่อมในชุมชนยังไม่ลดลงเท่าที่ควร แต่ ศอ.บต.คาดการณ์ว่าภายในวันที่ 30 ก.ย.68 สถานการณ์จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากจะมีกฎหมายใหม่ที่เข้มงวดมากขึ้นมาสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการขับเคลื่อนวาระพืชกระท่อม และจะมีความต่อเนื่องแน่นอน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการคลี่คลายปัญหาการใช้กระท่อมในทางที่ผิดให้เห็นผลเป็นรูปธรรมต่อไป
“เรื่องนี้เมื่อวันที่ 11 ก.ย.68 ท่านทวี (พ.ต.อ.สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทวงยุติธรรม) และ ท่านสมศักดิ์ (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) ได้ลงนามในประกาศเพื่อกำหนดข้อห้ามที่สำคัญ ทั้งห้ามขายใกล้สถานศึกษาในรัศมีไม่เกิน 1,000 เมตร ห้ามขายแบบเร่ขาย เช่น หาบเร่ รถเข็น หรือรถยนต์ ห้ามตั้งแผงลอยในที่สาธารณะ เช่น ตั้งโต๊ะหรือแคร่ ผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท โดยกฎหมายจะมีผลบังคับใช้ 30 วันหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา”
@@ แฉเด็กไม่ถึง 10 ขวบเริ่มใช้กระท่อม - ประถมมีซึมเศร้า
นายมูฮัมหมัดเผาซี ขะเด ผู้อำนวยการโรงเรียนส่งเสริมอิสลาม อ.นาทวี จ.สงขลา กล่าวลว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในกลุ่มเยาวชนกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก โดยพบว่ากลุ่มเป้าหมายมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ จากเดิมที่เคยพบในวัยรุ่นอายุ 15-16 ปี ตอนนี้กลับแพร่กระจายไปถึงเด็กอายุเพียง 9-10 ขวบแล้ว ถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ซึ่งพืชกระท่อมเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่นำเยาวชนไปสู่ยาเสพติดที่รุนแรงขึ้นในอนาคต
“อีกหนึ่งประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ ภาวะซึมเศร้าในเด็ก พบมากขึ้นในโรงเรียน โดยจากข้อมูลวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี พบว่าเดิมที่เคยพบปัญหาซึมเศร้าในเด็กมัธยมปลาย แต่ตอนนี้กลับพบในเด็กมัธยมต้น และเริ่มแพร่มาถึงระดับประถมศึกษาแล้ว แม้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าภาวะซึมเศร้าเกี่ยวข้องโดยตรงกับยาเสพติดหรือไม่ แต่เชื่อว่าหากทุกฝ่ายร่วมมือกันแก้ไขปัญหายาเสพติด ก็จะช่วยลดปัญหาสุขภาพจิตของเยาวชนได้”
@@ กฎหมายบิดเบี้ยว ทำ “ฮารอม” เป็น “ฮาลาล”

ดร.มังโสด หมะเต๊ะ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีสันติวิทย์สงขลา กล่าวเสริมว่า สถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่ อ.จะนะ ค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในกลุ่มชาวมุสลิม เนื่องจากเมื่อกฎหมายเปิดให้ปลูกกระท่อมได้อย่างเสรี ชาวบ้านจำนวนมากจึงมีความรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายในเชิงศาสนา (ฮาลาล) และปลูกไว้บริโภคเองในครัวเรือนเกือบทุกบ้าน แม้จะทราบดีว่าเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮารอม) แต่เมื่อกฎหมายไม่เอาผิด ความรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งผิดหลักศาสนาก็ค่อยๆ เบาบางลง
“เช่นเดียวกับกรณีของกัญชาที่เคยถูกมองว่าเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเคร่งครัด แต่เมื่อมีการเปิดเสรี ก็กลับกลายเป็นเรื่องปกติในสังคม” ดร.มังโสด กล่าว
อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลสำรวจของ ศอ.บต.ออกมาในช่วงของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลชุดใหม่ จากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีแนวนโยบายเกี่ยวกับพืชที่เป็นสารเสพติดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยพรรคภูมิใจไทยสนับสนุนให้ปลดล็อก “กัญชา-กระท่อม” จากบัญชียาเสพติด และสนับสนุนให้ใช้ทางการแพทย์ รวมถึงการพาณิชย์ แต่แนวทางนี้สวนทางกับความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผ่านผลสำรวจดังกล่าว
@@ เปิดกฎเหล็กคุมเข้ม “กระท่อม” หลังผู้เสพเพิ่ม 7 เท่า

สำหรับการออกประกาศควบคุม “ใบกระท่อม” และ “น้ำต้มใบกระท่อม” น่าจะถือเป็นผลงานส่งท้ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสาธารณสุข
ประกาศฉบับนี้ เป็น ประกาศกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง “การกำหนดสถานที่ วิธีการ หรือลักษณะต้องห้ามในการขายใบกระท่อม พ.ศ. 2568” เพื่อป้องกันการใช้ใบกระท่อมและน้ำต้มใบกระท่อมในทางที่ผิด รวมถึงลดความเสี่ยงในการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน
สาระสำคัญของประกาศ คือ
1.ห้ามผู้ใดขายใบกระท่อมและน้ำต้มใบกระท่อมในสถานที่ซึ่งตั้งอยู่ในระยะไม่เกิน 1,000 เมตร จากแนวรั้วหรือแนวเขตของสถานศึกษา
2.ห้ามผู้ใดขายใบกระท่อมและน้ำต้มใบกระท่อมโดยวิธีการหรือลักษณะการเร่ขาย / หรือการจัดตั้งแผงลอย
ประกาศฉบับนี้ จะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษปรับ 50,000 บาท ตามพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ.2565
พ.ต.อ.ทวี กล่าวระหว่างการแถลงข่าวว่า หลังปลดล็อกพืชกระท่อมจากบัญชียาเสพติด พบว่าพืชกระท่อมสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายได้จากการส่งออกหลายร้อยล้านบาทต่อปี โดยในปี 2568 มีพื้นที่ปลูกแล้วกว่า 16,083 ไร่ รวม 670 แปลงทั่วประเทศ
แต่ผลอีกด้าน คือ สถิติการใช้กระท่อมเพื่อการเคี้ยวใบ หรือต้มดื่มผสมสารอื่นๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลเปรียบเทียบปี 2562 ก่อนปลดล็อก กับปี 2567 ที่ปลดล็อกจากบัญชียาเสพติดแล้ว พบว่า...
- จำนวนผู้ใช้เพิ่มจาก 712,004 คนเป็น 3,852,491 คน = เพิ่มกว่า 5 เท่า
- ผู้เสพเพิ่มจาก 470,000 คนเป็น 2,700,000 คน = เพิ่มกว่า 7 เท่า
- ผู้ติดเพิ่มจาก 160,000 คนเป็น 180,000 คน
- บำบัดผู้ติดกระท่อมเพิ่มขึ้น โดย 17% ของผู้เข้ารับการบำบัดมีปัญหาจิตเวช
- พบจุดจำหน่ายพืชกระท่อมลักษณะหาบเร่ แผงลอย หรือการจำหน่ายกระจัดกระจายทั่วประเทศกว่า 1,113 จุด
เหตุนี้จึงจำเป็นต้องออกประกาศกำหนดสถานที่ วิธีการ และลักษณะต้องห้ามในการใช้พืชกระท่อม โดยประกาศฉบับนี้ไม่มีโทษจำคุก แต่กำหนดโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท เพื่อควบคุมการใช้ผิดวิธี ขณะเดียวกันยังคงสนับสนุนการใช้พืชกระท่อมเพื่อสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อไป
