
ความเศร้า เสียใจ สิ้นหวังจากความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้องเจอเข้ากับตัว ต้องเสียบุคคลอันเป็นที่รักนั้น ไม่ว่ารัฐจะเยียวยาด้วยตัวเองมากเท่าใด ก็ไม่อาจลบล้างบาดแผลในใจได้...
การเยียวยาทางจิตใจจึงส่งผลดีมากกว่า และสร้างความหวัง เป็นพลังในการต่อสู้ชีวิตให้กับ “คนข้างหลัง” มากกว่าหลายเท่า
และหนึ่งในแนวทางการเยียวยาที่ดีที่สุดแนวทางหนึ่ง คือ เยียวยาทางจิตวิญญาณ โดยใช้ศาสนาและศรัทธาเป็นดั่งเครื่องชโลมใจ
หากเป็นพี่น้องชาวพุทธ ก็คือการไปสังเวชนียสถาน
หากเป็นพี่น้องมุสลิม ก็คือการไปทำฮัจญ์
ดังเช่นความรู้สึกของ อิลฮาม กูมอ หญิงมุสลิมะฮ์จากรือเสาะ นราธิวาส
“หลายปีที่ผ่านมาต้องร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะสูญเสียคนในครอบครัวหลายคน” เธอเริ่มเล่า

“ตั้งแต่ปี 49 น้าชายถูกยิงเสียชีวิต พอปี 50 น้าผู้หญิงโดนยิงเสียชีวิตอีก ต่อมาปี 52 พ่อก็มาถูกยิงเสียชีวิต และปี 58 ตัวเองและสามีถูกลอบยิง ทำให้สามีเสียชีวิต ตัวเองรอด แต่ก็ได้รับบาดเจ็บ”
อิลฮาม บอกว่า แม้วันนี้เธอจะยังมีลมหายใจอยู่ แต่ความรู้สึกเหมือนชีวิตพังทลายไปแล้ว
“เจอมาแบบติดๆ เลยรู้สึกว่ามันหนักมาก เป็นเคสที่หนัก ร้องไห้จนนับครั้งไม่ถ้วน เคยถามตัวเองนะว่าทำไมต้องโดนซ้ำๆ แบบนี้ด้วย แต่ก็ได้แค่ถามตัวเอง และอดทนมาตลอด”
“ตั้งแต่พ่อเสียก็ขาดหัวหน้าครอบครัว ทำให้ต้องรับภาระเองทุกอย่าง ต้องดูแลแม่กับน้องๆ อีก 2 คน เพราะตอนที่พ่อถูกยิง แม่คลอดน้องคนสุดท้อง อายุ 3 เดือน”
“ส่วนน้องชายคนกลางก็เป็นคนติดพ่อ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ น้องก็มีอาการซึมเศร้า ต้องหาหมอกินยาเป็นเวลานาน เราอยู่กับแม่และน้อง สู้ชีวิต ทำทุกอย่าง”
อิลฮาม เล่าต่อว่า กระทั่งเธอได้แต่งงาน อยู่กินกับสามี แต่เรื่องร้ายๆ ก็ยังไม่จบลง

“วันหนึ่งเราได้แต่งงาน แต่สามีก็ยังมาถูกยิงอีก ต้องกลายเป็นหม้าย และน้องที่เป็นซึมเศร้าก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ทำให้น้องอาการหนักขึ้น”
ผลกระทบทางจิตใจร้ายแรงถึงขั้นที่ตัวอิลฮาม และคนที่ยังเหลือ อาศัยอยู่บ้านเดิมต่อไปไม่ได้
“เราไม่สามารถอยู่บ้านตัวเองได้เลย ทั้งน้องและแม่ รวมถึงตัวเอง สุขภาพจิตแย่มาก ต้องทิ้งบ้านออกไปเช่าบ้านอยู่ในตลาดรือเสาะ“
“สิ่งสำคัญที่ทำให้ทิ้งบ้าน คือน้องอาการหนักจนถึงวันนี้ แม้ตอนหลังจะย้ายกลับไปอยู่บ้านแล้ว แต่ก็ยังผวาอยู่ แต่ก็พยายามทำให้ยอมรับและให้กำลังใจคนในบ้าน ฉันเองต้องทำตัวให้เข้มแข็ง เพราะเรามีแม่ มีน้อง มีลูกที่ต้องดูแล ท้อไม่ได้ เราคือความหวังและกำลังใจของทุกคนในบ้าน แม้จะพยายามลืมภาพเก่าๆ แต่ก็ยากที่จะลืม ก็อดทนสู้ต่อไป”

สิ่งเดียวที่เหมือนเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจอิลฮาม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็คือการได้รับโอกาสไปทำฮัจญ์
“วันนี้ได้มาทำฮัจญ์ โดยมี ศอ.บต.สนับสนุน ร้องไห้เลยเมื่อรู้ว่าได้มา แต่เป็นการร้องไห้ด้วยความดีใจ มันคือน้ำตาแห่งความสุข และคิดว่านี่คือสิ่งที่อัลลอฮ์ตอบเเทนให้เรา ตอบแทนที่เราอดทน ทำให้เราผ่านบททดสอบมาตลอด ตื้นตันพูดอะไรไม่ออกเลย”
“ขอบคุณ ศอ.บต.ที่ให้โอกาส แต่งเติมสิ่งที่ขาด การมาทำฮัจญ์เป็นที่สุดของชีวิตที่ผู้นับถือศาสนาอิสลามทุกคนใฝ่ฝันจะต้องมาให้ได้ วันนี้เราคือคนที่ได้รับโอกาสจาก ศอ.บต. ร้องไห้ตลอดเลย ตอนแรกเราเสียนํ้าตากับการสูญเสีย แต่วันนี้เป็นนํ้าตาที่เราดีใจ”

การประกอบพิธีฮัจญ์ หรือ “การทำฮัจญ์” ภาษามลายูปัตตานีเรียกว่า “บูวะฮายี” คือการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่มักกะฮ์ (ประเทศซาอุดีอาระเบีย) ซึ่งศาสนกิจข้อนี้เป็นหน้าที่สำหรับมุสลิมทั้งชายและหญิง ทุกคนที่มีความสามารถในด้านร่างกาย ทรัพย์สิน ต้องกระทำ
สำหรับคนมุสลิมทุกคน จะถือว่า “การทำฮัจญ์” คือที่สุดของชีวิต ครั้งหนึ่งทุกคนจะต้องไปให้ได้ แม้จะต้องเก็บเงินครึ่งค่อนชีวิตก็ตาม
แต่บางคนก็ไม่คิดไม่ฝันว่า จะมีโอกาสได้ไปทำฮัจญ์ อย่างกรณีของผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้หลายสิบชีวิตที่ทางศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต.สนับสนุนให้ได้ไปทำฮัจญ์ในแต่ละปี รวมทังปี้
พวกเขาออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย.68 และมีกำหนดกลับบ้านในวันที่ 14 มิ.ย. หลายคนถึงกับร้องไห้ที่ ศอ.บต.ให้โอกาส มันคือน้ำตาแห่งความสุข

มูฮัมหมัดอามีน ตาเยะ ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อปี 57 ทำให้ต้องสูญเสียขาและต้องใส่ขาเทียม เล่าว่า ตนประสบเหตุร้ายเมื่อวันที่ 6 เม.ย.57 ตอนนั้นเวลา 14.50 น. ยังจำได้ดี เกิดเหตุระเบิดที่หน้าร้านราชาเฟอร์นิเจอร์ เยื้องๆ กับห้างโคลิเซียมยะลา ตอนนั้นขับรถผ่านจังหวะเกิดเหตุพอดี แล้วก็โดนระเบิด ทำให้ขาขาด
“ตั้งแต่นั้นมา การใช้ชีวิตก็เป็นไปอย่างยากลำบาก ปิดตัวเองจากโลกภายนอกเลย ทำใจไม่ได้ที่ต้องเป็นแบบนี้ ปีแรกหลังจากพักฟื้น ผมอยู่บ้าน ไม่ออกไปไหนเลย ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากอยู่แบบส่วนตัว อยู่เงียบๆ คนเดียว เวลาที่จำเป็นต้องออกไปไหน จะออกไปไม่นานก็จะรีบกลับ ไม่ได้กลัว แต่แค่ไม่อยากเข้าสังคม”

มูฮัมหมัดอามีน บอกว่า เวลาได้ช่วยเยียวยาเขาด้านหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือโอกาสที่ได้ทำฮัจย์
“ตอนนี้ทุกอย่างดีขึ้น เริ่มทำงาน แล้วก็เริ่มเข้าหาเพื่อน และได้แต่งงาน ชีวิตก็ดีขึ้น ไม่เคยคิดว่าตัวเองไม่ปกติ กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ อัลลอฮ์ก็ทดสอบมาตลอดระยะเวลาตั้งแต่ผมโดนระเบิด แล้วมาเจออุบัติเหตุซ้ำด้วย ก็ป่วยตลอด ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยมาก ชีวิตเจอบททดสอบมาตลอด 10 ปี”
“จนถึงวันนี้ได้รับโอกาสจาก ศอ.บต. ได้มาทำฮัจญ์ ทำให้คิดว่าเป็นการตอบแทนที่เราได้สูญเสียอะไรไป ที่เราอดทนมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ มันอาจจะเป็นผลตอบแทนจากอัลลอฮ์ ซึ่งมันเรียกได้ว่า ที่สุดของชีวิตเลยที่ได้มาทำฮัจญ์”

เช่นเดียวกับ สาอุดี กามารี ชาวอำเภอบันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากคดีความมั่นคง
“รู้สึกดีใจ คิดว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี สามารถสนับสนุนคนที่ไม่มีทุนทรัพย์เพื่อจะไปทำศาสนกิจให้สมบูรณ์ ถ้าไม่มีโอกาสนี้ คงยากที่จะได้ไป”
“ที่ผ่านมาเคยถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว แต่ก็ไม่มีอะไร เพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เจ้าหน้าที่เขาระแวงเอง นี่คือผลตอบแทนที่อัลลอฮ์มอบให้ภายใต้โครงการของ ศอ.บต. และขอขอบคุณ ศอ.บต. ที่มอบโอกาสให้”
สาอุดี บอกแทนความรู้สึกของทุกคนว่า เมื่อได้มาที่นี่ (นครมักกะฮ์) ได้เห็นหลายคนก็ร้องไห้ดีใจที่ได้มาทำฮัจญ์ เพราะเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของพวกเราจริงๆ
ขอขอบคุณ ศอ.บต.!
